บทความเด่น: ยิ่งกว่าหยาดเหงื่อและแรงบันดาลใจ
นิตยสาร Life ยกย่องเขาว่าเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งแห่งสหัสวรรษ จำนวนสิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นก็น่าทึ่ง – มีถึง 1093 อย่าง เขาถือสิทธิบัตรมากกว่าใครๆ โดยได้รับอย่างน้อยทุกๆ ปีเป็นเวลา 65 ปีติดต่อกัน เขายังได้พัฒนาห้องทดลองค้นคว้าวิจัยสมัยใหม่เขาผู้นี้คือ โธมัส เอดิสัน เมื่อพูดถึงความสามารถของเอดิสัน คนส่วนใหญ่ยกย่องความเป็นอัจฉริยะในการประดิษฐ์ของเขา แต่เขาเองยกย่องการทำงานหนัก เขากล่าวว่า “อัจฉริยะก็คือหยาดเหงื่อ 99% และแรงบันดาลใจ 1%” ผมเองเชื่อว่าความสำเร็จของเอดิสันเป็นผลมาจากปัจจัยที่ 3 ด้วย นั่นก็คือทัศนคติที่ดีของเขา อ่านต่อ...
บทความที่น่าสนใจ The 3rd Birthday ล่าสุดสดๆร้อนๆ / ไทยจ่อเลิกใช้“แบล็คเบอร์รี่” / Code Geass R2 รางวัล การ์ตูนญี่ปุ่น Anime ยอดเยี่ยมปี 2009 / พลิกปูมงบ ส.ส.ในอดีต / ความลับของ Internet / Amazing in Thailand / สุดเซอร์ไพรส์ 6 เรื่องแปลก ผ่าน Facebook ที่คุณต้องอ่าน... / Nielsen รายงาน Android แซง iPhone ได้เป็นครั้งแรก
ในสังคมปัจจุบันนี้ “การให้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่จริง” เมื่อโลกเริ่มเข้าสู่ยุคอินเทอร์เนตนั้น ผมได้เจอหลายเว็บไซด์หรือบล็อกเกอร์ ที่ยินดีมาแบ่งปันข้อมูลโดยไม่คิดเงินสักบาท

ตัวอย่างเช่น เว็บไซด์ tuvayanon.net ที่เป็นเว็บที่มาแบ่งปันความรู้เรื่องการเพาะกาย ของพันตำรวจโทวิษณุ ตุวยานนท์ ซึ่งเป็นนายตำรวจ แต่มีความสนใจในกีฬาชนิดนี้เป็นการส่วนตัว และอ่านหนังสือ ตำรับตำรามากมายทั้งไทยและเทศ เลยหาพื้นที่แบ่งปันความรู้ จนปัจจุบันมีคนเข้ามาดูหน้าเว็บ วันละเป็นหมื่นๆ คน โดยคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไม่เสียเงินสักบาท แต่ได้ความรู้ไปเต็มๆ เหมือนอ่านหนังสือหลายเล่ม ยอมรับข้อมูลเขาแน่นจริงๆ

ถ้าเป็นในอดีตการจะทำแบบนี้ได้ คงต้องไปพิมพ์หนังสือ หรือเสียเงินเพื่อขอพื้นที่ในนิตยสารฉบับต่างๆ แต่ปัจจุบันสามารถแชร์ได้ทั้งแบบฟรีผ่านบล็อกต่างๆ หรือถ้าเป็นเว็บไซด์ก็เสียค่าเช่าพื้นที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับข้อมูลที่ใส่ลงไป

ตัวอย่างบล็อกแห่งการแบ่งปันที่ดีอีกบล็อกหนึ่งคือ pawawit.blogspot.com ของคุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม แบ่งปันเกี่ยวกับความรู้ในการลงทุน จนได้รับรางวัล Thailand Blog Award 2010 ไปเรียบร้อย จนปัจจุบันได้รับความสนใจและถูกเรียกร้องให้เขียนหนังสือออกมามากมาย แต่ละเล่มก็เป็น Best Seller ทั้งนั้น ก็เริ่มต้นจากยินดีให้ความรู้เรื่องการลงทุนฟรีผ่านบล็อกก่อนเช่นกัน สุดยอดจริงๆ

หลายคนอาจจะคิดว่า ทำบล็อกไม่เห็นจะยากอะไร แค่คลิ๊กๆ 2 ชั่วโมงก็ออกมาเป็นบล็อกแล้ว แต่หารู้ไม่ บล็อกของพวกเขาเหล่านี้มีบทความเป็นพันๆ เรื่อง อัพเดทกันตลอด จนสามารถกลายเป็นที่รู้จักได้ขนาดนี้

และนอกจากเนื้อหาที่เป็นข้อมูล ในโลกอินเทอร์เนตยังสามารถแชร์หรือแบ่งปันในรูปแบบของสื่อมีเดียต่างๆ เช่น ช่องวีดีโอใน Youtube ของยูสเซอร์ที่ชื่อ MrDenbit นั้น เป็นช่องที่ออกมาแสดงทักษะการเล่นกีตาร์แบบ Finger style พร้อมเปิดสอนให้คนที่สนใจมาเรียนฟรี!!! ฟรีจริงๆ ไม่โกหก ขอแค่คุณมีเวลาเท่านั้น และยังติดต่อขอโน้ตเพลง หรือ Tablature ได้ฟรีโดยไม่ห่วง ไม่เหมือนบางแห่งที่มีการคิดเงิน ตั้ง 50-300 บาทต่อแผ่น แต่ อ.เด่นของเราแจกฟรีครับ เฉพาะเพลงที่แกะไว้แล้ว เป็นไงสุดยอดไหม!!!

นี่แหละ พลังแห่งการให้ ผมลองอ่านชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ ทุกคนมาจากแรงจูงใจที่คล้ายกันคือ อยากให้คนมีความรู้ และไม่ถูกหลอก จึงนำความรู้ที่พวกเขามีมาแบ่งปัน บางท่านต้องอ่านตำราเป็นร้อยๆ เล่ม เสียเงินไปเรียนรู้ที่โน้นที่นี้ เพื่อจะมาแบ่งปันความรู้เหล่านั้นให้พวกเราฟรี แล้วเราล่ะ จะเข้าโลกอินเตอร์เนตเพื่อรับอย่างเดียว หรือจะนำสิ่งที่เรามีไปแบ่งปันเพื่อให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นบ้าง...


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


เคยได้ยินกันมาว่า "ชาเขียว" เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก จึงช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดกลิ่นปาก ป้องกันฟันผุ ฯลฯ จึงทำให้ความนิยมใน "ชาเขียว" เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ทว่า มีหลายคนเคยได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์ เตือนภัยเกี่ยวกับเรื่องการดื่มชาเขียว ในทำนองว่าต้องดื่มชาเขียวที่ร้อน ๆ เท่านั้น ถึงจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง หากกลับกันไปดื่มชาเขียวแช่เย็น อย่างที่เรา ๆ นิยมกัน จะกลายเป็นโทษมหันต์ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกายแล้ว ยังก่อให้เกิดมะเร็งได้อีก แถมยังทำให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมาได้อีก หากไม่เชื่อลองนำชาเขียวเย็นเทใส่ชามก๋วยเตี๋ยวดู ก็จะเกิดไขเกาะชามก๋วยเตี๋ยวทันที!!!

เห็นข้อมูลจากฟอร์เวิร์ดเมล์ข้างต้น ก็ทำให้ผู้รักสุขภาพที่นิยมดื่มชาเขียว หนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาทันทีใช่ไหมล่ะ แต่จริง ๆ แล้ว ความเชื่อดังกล่าวไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด วันนี้เราจะมาไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องชาเขียวกัน

โดยคำอ้างในฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ระบุว่า ให้ทดสอบชาเขียวแช่เย็น โดยการเทน้ำชาเขียวลงไปในชามก๋วยเตี๋ยว แล้วจะพบคราบไขมันลอยจับที่ชามก๋วยเตี๋ยวทันที กรณีนี้มีคนได้วิเคราะห์ว่า บทพิสูจน์ดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล เพราะความเป็นจริงการเทน้ำเย็น ๆ ไม่ว่าน้ำอะไรก็ตามลงไปในชามก๋วยเตี๋ยว ก็เกิดเป็นไขได้ทั้งนั้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของไขมัน ที่เปลี่ยนอุณหภูมิกะทันหันนั่นเอง

ส่วนเรื่องที่ว่า "ชาเขียวแช่เย็น" จะทำให้เกิดโรคได้จริงหรือไม่นั้น อาจารย์สง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้เคยให้ข้อมูลที่น่าสนใจไว้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่า การดื่มชาเขียวเย็นจะทำให้เกิดโรคได้ รวมทั้งยังไม่มีผลวิจัยว่า การดื่มชาเขียว จะสามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งในคนได้อย่างที่คนร่ำลือกัน แม้ที่ยอดใบชาจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ป้องกันการเกิดมะเร็งได้จริงก็ตาม

ขณะที่ นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ธรรมชาติบำบัด ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ก็พูดถึงเรื่องการดื่มชาเขียวว่า การกินชาเขียวให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระจริง ๆ จะต้องชงชาเขียวเข้มข้นแบบญี่ปุ่น และต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 20 แก้ว เป็นประจำทุกวัน จึงจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ ซึ่งในทางปฏิบัติอาจทำได้ยาก

แต่สำหรับการดื่มน้ำชาเขียวปัจจุบัน เป็นชาเขียวที่เจือจาง และยังปรุงรสแต่งกลิ่นด้วยน้ำตาล ซึ่งหากดื่มมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดโรคอ้วนได้ ดังนั้นจะดื่มร้อนหรือเย็นก็ไม่ต่างกัน
เช่นเดียวกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ที่ระบุว่า การดื่มชาเขียวเย็นจะทำให้เกิดมะเร็งได้นั้น ไม่น่าจะเป็นความจริง ส่วนเรื่องการดื่มชาร้อน ๆ แม้จะมีผลวิจัยระบุว่า สารต้านอนุมูลอิสระในชาจะหายไปประมาณ 20% หากโดนความร้อนนาน ๆ แต่คนที่ดื่มชาส่วนใหญ่จะชงชาดื่ม ไม่ต้มชา ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาอะไร พร้อมให้เคล็ดลับแถมท้ายมาด้วยว่า การชงชาเขียวให้สารต้านอนุมูลอิสระคงอยู่ ทำได้โดยบีบมะนาวลงไประหว่างชงชา

นอกจากนี้ นพ.กฤษดา ยังได้แนะนำว่า ผู้ที่ท้องอืดบ่อย ๆ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ และคนที่เป็นโรคหัวใจ ไม่ควรดื่มชา เพราะจะยิ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น รวมทั้งคนที่เป็นโรคไต ก็ไม่ควรดื่ม เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย

สรุปได้ว่า ณ วันนี้ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ ออกมายืนยันว่า การดื่มชาเขียวเย็น ๆ จะทำให้เกิดโรคอย่างที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกมา แต่อย่างไรก็ตาม หากชอบดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ "น้ำเปล่า" ธรรมดา ๆ นี่แหละ ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยล่ะ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เดลินิวส์




ได้เจอแอพพลิเคชั่นดีๆ ของคนไทยที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับสุขภาพของตัวเอง หากใครเจ็บป่วยโดยไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ก็สามารถดูอาการ และ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ก่อน แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า "DoctorMe" ครับ

DoctorMe นั้นเป็นแอพพลิเคชั่นที่ถูกพัฒนาโดยร่วมมือกันระหว่าง สถาบัน ChangeFusion สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิหมอชาวบ้าน และ บริษัท โอเพ่นดรีม จำกัด


DoctorMe เป็นแอพพลิเคชั่นคู่มือการดูแลตัวเองเบื้องต้น เมื่อเกิดอาการต่างๆ เราสามารถเลือกหารายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับอาการของเรา และ ดูวิธีการปฐมพยาบาล รวมทั้งโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการนั้นๆ ซึ่งนับได้ว่าเป็นแอพพลิเคชั่นด้านสุขภาพ iOS ตัวแรกของไทยอีกด้วยครับ

และตอนนี้ได้ขึ้น อันดับ1 ของ Top Free ของ App storeแล้วครับ (วันที่ 22 สิงหาคม 2554)


ส่วนของรายละเอียดในแอพพลิเคชั่น DoctorMe นั้นจะแสดงในหมวดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

- อาการ เป็นการบอกถึงอาการต่างๆ ของเราที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหาโรคที่จะเกิดขึ้นและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- การค้นหา ส่วนของ อาการ ชื่อโรค และชื่อยา
- รายการลัด เป็นการจดจำหน้านั้นๆ ไว้เพื่อความสะดวก โดยกดบันทึกไปยังรายการลัดได้
- ปฐมพยาบาล เป็นการบอกวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และ มีรูปภาพประกอบเพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
- ส่วนของคำแนะนำ

เมื่อเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นหน้าแรกจะแสดงส่วนต่างๆ ของร่างกายให้เราได้เลือกว่า เราป่วยตรงไหน


ผมจะลองเล่นดูนะครับ ถ้าเกิดอาการปวดศีรษะ่บ่อยๆ ปวดข้างเดียวเป็นเวลานานๆ ก็เลือกไปที่ "ศีรษะ"ครับ และเลือกอาการของเราที่เกิดขึ้น ผมจึงเลือกไปที่ "ปวดศีรษะ (ปวดหัว)"


เมื่อเลือกอาการของเราแล้ว จะเข้าสู่ของรายละเอียดของอาการที่เกิดขึ้น และ วิธีการรักษาเบื้องต้น


และส่วนของ แท็บเมนูด้านขวา โรคที่เกี่ยวข้องก็จะแสดงโรคที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรามีอาการที่เราได้เลือกก่อนหน้านั้น และรายชื่อโรคก็มีแสดงโรคไมเกรนด้วย เลือกดูที่ ไมเกรนจะแสดงอาการ สาเหตุ การรักษา การดูแลตัวเอง เป็นข้อมูลที่ครบถ้วนมากๆ ครับ และยังสามารถส่งอีเมลไปให้เพื่อนที่เป็นโรคแบบเราได้อีกด้วย


ส่วนของการค้นหา เราก็สามารถ พิมพ์ค้นหาสิ่งที่เราต้องการได้ไม่ว่าจะเป็นชื่อโรค,อาการ,และยา และยังมีลิสต์ชื่อโรคแสดงให้อีกด้วย


ส่วนของเมนูการปฐมพยาบาล เบื้องต้นที่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อทุกเวลา หากเรานั้นไม่รู้ว่าจะปฐมพยาบาลอย่างไร หรือทำให้ถูกต้องถูกวิธี ก็มีรายละเอียดบอกไว้ครบถ้วน


ส่วนสุดท้ายเป็นส่วนเมนูเพิ่มเติม จะเป็นรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับ DoctorMe และการส่งอีเมลแนะนำติชมได้


อุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อทุกเวลานะครับ หากเรามีการสังเกตุอาการของเรา หรืออยากจะทำการรักษาเบื้องต้นนั้น ลองใช้งานของแอพพลิเคชั่น DoctorMe ดู อาจจะช่วยลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาล หากเรามีการดูแลอาการเหล่านั้นได้เบื้องต้น ขอปรบมือให้กับแอพพลิเคชั่นดีๆ แถมปล่อยให้ดาวน์โหลดฟรี!! อีกด้วย
สุดท้ายเราเองก็ต้องดูแลสุขภาพกันมากๆ นะครับ ยิ่งตอนนี้อากาศในบ้านเรานั้นก็เปลี่ยนแปลงบ่อย

สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น DoctorMe ได้ ที่นี่

ที่มา : Thaiware.com




ผมขอถามว่า อะไรคือความแตกต่างกันระหว่างผีดิบในหนัง กับพนักงานบริษัท ดูไม่น่าเกี่ยวข้องกันใช่ไหม แต่นี่แหละคือเรื่องจริง พนักงานบริษัทส่วนมากเดินทางมาทำงานแบบซังกะตาย พอทำงานชิ้นหนึ่งเสร็จ ก็เดินลากขาเหมือนซอมบี้ในหนัง ไปทำงานอีกชิ้นหนึ่ง ทำงานแบบสักแต่ว่ายกให้หมดวันก็พอ แล้วพอหมดเวลางานในวันนั้น ก็เดินแบบซอมบี้ออกประตูบริษัทไป

บางคน เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำงาน ก็คิดถึงแต่ภารกิจ หรือความเมื่อยล้าจากสิ่งอื่นๆ หาเหตุลาป่วยเอาดื้อๆ ไม่ว่าคุณจะจัดอยู่ในพวกไหน คุณกำลังขาดแหล่งพลังผลักดันที่สำคัญอย่างหนึ่งในตัวไป เราเรียกพลังนั้นว่า "ความมีวินัยในตนเอง" อย่าพึ่งโกรธ หรือตีความเอาว่าผม (ผู้เขียน) มีอคติต่อคุณนะครับ ลองฟังผมพูดเสียก่อน

ลองจินตนาการตามผมดูนะครับ สมมติว่าคุณกำลังบริหารวิ่งออกกำลังกายที่สวนลุม จนใกล้จะครบจำนวนครั้งที่กำหนดไว้ ซึ่งคุณรู้ว่าเมื่อทำจนครบแล้ว คุณต้องหมดแรงพอดิบพอดี แต่ทันใดนั้น ก็มีชายชรามหาเศรษฐีคนหนึ่ง เอาเงินมามอบให้คุณ 1 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่า ขอให้คุณวิ่งออกกำลังกายต่อไปอีก 3 รอบ แน่นอนว่าถึงตอนนี้ ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยเท่าไร คุณก็วิ่งต่อได้อีก 3 รอบอย่างไม่ต้องสงสัย

เอาละ คราวนี้มาดูว่าถ้าไม่มีเงิน 1 ล้านนี้มาให้คุณ คุณจะวิ่ง 3 รอบที่ว่านี้เพิ่มเติมหรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ละก็ ตอนนี้แหละ คุณกำลังขาดแคลนวินัยในชีวิตอยู่ครับ เพราะคุณยังเอาชนะจิตใจตัวเองโดยไม่มีสิ่งเร้าจากภายนอกไม่ได้ ผมยืนยันในทฤษฎีนี้ได้เลยว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณเป็นเจ้านายของจิตใจคุณการดำเนินชีวิตคุณ จะเต็มไปด้วยความเข้มข้นอย่างไม่ต้องสงสัย

มารู้จักกับคำว่าวินัยในตัวเองกันดีกว่า

สมมติให้ "วินัยในตัวเอง" เป็นผู้ชายหนึ่งและเป็นเพื่อนคุณ คุณพาเพื่อนคุณคนนี้ไปแนะนำกับทุกๆคนในงานเลี้ยง ไม่บอกก็รู้ว่า ทันทีที่ถูกแนะนำตัว ทุกคนจะพากันเกลียดเขาทันที "วินัย" จะวิ่งไปมาอย่างรวดเร็วในงาน คำพูดที่จะได้ยินจากเขาคือ "เอาบุหรี่นั่นออกจากปากคุณเถอะ แล้วก็เลิกสูบบุหรี่เสียที ไม่อยากอยู่กับลูกเมียนานๆหรือ" "เหล้านั่นเป็นสิ่งไม่ดี เลิกดื่มเสียเถอะ" "อย่ามัวกินอาหารขยะ (Junk food) อยู่เลย ไม่มีประโยชน์ อ้อ.. แล้วก็เลิกมองแฟนสาวของเพื่อนคุณด้วย" แน่นอนว่าทุกๆคนแทบรอไม่ไหว ที่จะพร้อมใจกันโยนเขาออกนอกงาน เหตุผลน่ะหรือ ง่ายมากครับ

"วินัยในตัวเอง" มีชื่อเสียงตกอับมานาน ตัวมันถูกปฏิเสธมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ หลายพันปีโน่นแล้ว เป็นแฟชั่นมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วว่า ต้องทำตามความชอบก่อน ส่วนผลของมันเป็นอย่างไร เอาไว้ว่ากันทีหลัง มันไม่แปลกหรอกที่คุณก็เป็นคนหนึ่ง ที่จมอยู่กับความคิดตามแฟชั่นแบบนี้ กินมากกว่าที่ร่างกายต้องการ ,นอนจนเกินความจำเป็น ,ดีแต่พูด แต่ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พูดเสียที นี่แหละ นิสัยเหล่านี้แหละ ที่เป็นแฟชั่นอันโด่งดังอย่างแท้จริง

อีกด้านหนึ่งนั้น "วินัยในตัวเอง" ไม่ใช่ธรรมชาติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้มากับกรรมพันธ์ แต่ได้มาด้วยการสร้างขึ้นเองต่างหาก รากศัพท์ของคำว่า Discipline (วินัย) คือ สิ่งใดก็ตามที่ติดยึดอยู่กับหลักการ เมื่อรวมกับคำว่า Self รวมกันก็คือ การติดยึดเกี่ยวกับหลักการของคุณเอง คนทั่วไปส่วนมากมีชีวิตอยู่โดยไม่มีหลักการเลย

เริ่มต้นอย่างไร - มันเป็นเสียงที่อยู่ในใจคุณ

ทุกๆคนสามารถได้ยินเสียงจากจิตใจคุณ เราต่างต้องพึ่งพามัน จิตใจจะพูดกับเราตลอดเวลา ให้เราทำอย่างนั้น ให้เราทำอย่างนี้ สิ่งใดก็ตามที่จิตใจพูดกับเรา มันจะขึ้นอยู่กับของสามสิ่ง สัญชาติญาณ มันคือผลึกความคิดของคุณ ที่ตกตะกอนมาจากสิ่งที่พ่อคุณสอนคุณในสมัยเด็ก และเมื่อคุณโตขึ้นมาอีก มันก็คือผลึกความคิดที่มาจากสิ่งที่คุณได้พบเห็นด้วยตัวเอง

ถ้าคุณมีภูมิหลังอันเลวร้าย และยังคงมีมันอยู่ ก็เป็นไปได้ว่าจิตใจคุณก็จะบอกคุณให้ทำแต่เรื่องทางลบ ในทางกลับกัน ถ้าชีวิตที่ผ่านมาของคุณ เจอแต่เรื่องดีๆ ได้รับการสั่งสอนในทางที่ดี ก็มีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่คุณจะมีความคิดในทางบวก และเจ้าความคิดทางบวกนี่เองที่มีส่วนในการสร้าง "วินัยในตัวเอง" ให้คุณ

เพื่อให้ได้มาซึ่งวินัยในตัวเองนั้น ก่อนอื่นคุณต้องยอมรับตัวคุณเองก่อน ว่าคุณเป็นคนแบบไหน ลองดูสิว่าคุณเป็นคนประเภทไหน

ก.) "ผมไม่แน่ใจว่าผมจะทำอันนั้นได้ครับ" "ผมอยากเกิดมามีอย่างผู้ชายคนนั้นจริงๆ" "กว่าผมจะได้มีโอกาสดีๆ ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว" "คงไม่มีอะไรเสียหายหรอกน่า ถ้าวันนี้ฉันจะไม่ ... สักวัน" "ฉันหวังว่าที่ฉัน ... ไปวันนี้ มันคงจะได้ผลนะ"

ข.) "ผมมั่นใจเลยว่ามันต้องได้ผล" "นับวัน ผมยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายเข้าไปทุกที" "ผมมั่นใจว่าระบบนี้ต้องได้ผลเต็มที่" "ผู้รู้สึกว่าทำสำเร็จมากขึ้น" "ผมรู้ว่าอีกไม่นาน ผมจะทำได้มากกว่าวันนี้เยอะเลย"

เอาละ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภท ก.ไก่ หรือ ข.ไข่ ก็จงยอมรับตัวเองก่อน จากนั้นก็ถึงเวลาที่คุณควรรู้ไว้ตั้งแต่วันนี้เลยว่า คุณสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นได้ ผมพูดได้เพราะมีคำยืนยันจากนักวิจัยว่า คุณสามารถเลือก จะให้จิตใจคุณพูดกับคุณว่าอย่างไร และเมื่อมันพูดแล้ว คุณก็มีหน้าที่ทำตามมันเท่านั้น ลองเลือกสิ่งเหล่านี้เอาไว้สั่งจิตใจคุณดูสิครับ

1.การวางแผนว่าต้องการจะให้คนอื่นเห็นคุณเป็นอย่างไร ไม่ใช่ใส่ใจว่าตอนนี้คุณเป็นอย่างไร

2.จงทำสิ่งต่างๆตรงนี้ และเดี๋ยวนี้ เพื่อสิ่งดีๆในอนาคต คุณจะต้องลืมสิ่งที่ผ่านมาในอดีตเสีย พยายามให้จิตใจคุณเตือนคุณให้บ่อยที่สุดว่า อดีตก็คือขยะของปัจจุบันเท่านั้น มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

3.ให้เสียงในใจของคุณ บอกจุดประสงค์แบบเน้นไปเลยว่า ต้องการอะไร อย่างเช่น ไม่ควรจะคิดว่าต้องการให้น้ำหนักลด แต่ที่ถูกแล้ว จะต้องบอกว่า ต้องการน้ำหนักลด 10 กก.ภายในสามเดือน หรือต้องการเพิ่มน้ำหนักให้ได้อีก 15 กก. ยิ่งคุณบอกได้ละเอียดเท่าใด จิตใต้สำนึกของคุณ ก็จะทำงานให้คุณดีขึ้นเท่านั้น

4.เวลากรอกความคิดเข้าไปในจิตใจ คุณควรใส่อารมณ์เข้าไปด้วย เพราะถ้าพูดทื่อๆตรงๆ มันไม่น่าเร้าใจเอาเลย อย่างเช่นแทนที่จะพูดว่า "ฉันจะทำให้หน้าท้องเห็นเส้นเลือด" คุณควรจะพูดว่า "จะรู้สึกดีขนาดไหนนะ ถ้าฉันเล่นกล้ามท้องจนไขมันหายไปหมด จนเห็นเส้นเลือดเกาะอยู่ที่หน้าท้องเลย"

5.ร่วมมือกับเสียงภายในใจของคุณ โดยหลับตานึกถึงภาพตอนที่คุณ ทำสถิติเรื่องใดสักเรื่อง จนไม่มีใครสู้ได้ ทั้งหมดนี้ ทำก็เพื่อให้จิตใจคุณเห็นว่า ควรจะนำตัวคุณไปในทิศทางใด

6.หลีกเลี่ยงคนที่มีความคิดเป็นลบ คนพวกนี้ชวนคุณให้คิดแง่ลบตามเขา แม้ว่าคุณอาจไม่เชื่อเขาในตอนแรก แต่พอฟังพวกนี้พูดบ่อยๆ มันจะค่อยๆซึมซาบเหมือนยาพิษ เข้าไปในตัวคุณ มันจะทำลายความมีวินัยในตัวคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ ทำลายความสำเร็จของคุณครับ

ทำให้ความมีวินัยในตัวเอง ของคุณ ขยายออกไป

เมื่อคุณมีแนวคิดที่เป็นบวก ความมีวินัยในตัวเองของคุณจะเติบโตขึ้น คุณจงทำให้มันเติบโตอยู่อย่างนั้น และนี่คือกลยุทธ์ที่คุณควรนำไปปฏิบัติ

1.สร้างเป้าหมายในชีวิตเสมอ - คิดว่าคุณคงเคยเห็นอดีตนักกีฬาชื่อดังหลายคน เมื่อเลิกราวงการไปแล้ว ปล่อยตัวให้อ้วนดูน่าเกลียด นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาจะบริหารร่างกายไปอีกทำไม ในเมื่อเขาไม่ได้แข่งขันอะไรแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง ชีวิตคนเรามีเป้าหมายที่น่าทำตั้งมากมาย แต่เขาเหล่านั้นไม่ยอมกำหนดให้ตัวเองต่างหาก คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตก็คือคนที่ไม่มีหลักการ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงคำสบประมาทนี้ คุณจะต้องสร้างเป้าหมายใหม่ๆเสมอ

เริ่มถามตัวคุณเองว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการทำต่อไป ลองสนใจเรื่องใหม่ๆของคุณ ตั้งเป้าให้มันเลยว่า จะให้มันจะสำเร็จอย่างไร เมื่อคุณมีเป้าหมายใหม่ๆ คุณก็จะมีหนทางใหม่ๆให้ทำ มีความกระตือรือร้นเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่จะเพิ่มแรงผลักดันที่ดีในจิตใจคุณ มันทำให้คุณมีวินัยในตัวเองเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นวัตถุดิบพาไปสู่เป้าหมาย

2.ทำบ่อยๆ - ลองคิดถึงการหัดขับรถของคุณดู สมัยแรกๆคุณตัวแข็งทื่อ จะเลี้ยว จะถอยหลัง ล้วนดูแล้วยากทั้งสิ้น แต่เมื่อคุณขับบ่อยเข้า คุณก็สามารถทำทุกอย่างได้โดยอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่บอกคุณว่า เมื่อจะทำอะไรลำบาก คุณควรจะทำมันทีละน้อยๆ บ่อยครั้งเข้า ในที่สุดคุณก็จะสามารถทำได้ การสร้างวินัยในตัวคุณเองก็เช่นกัน ควรค่อยๆสั่งสมไปทีละน้อย

อย่าคิดว่าการสั่งสมทีละน้อยๆนี้จะไม่มีค่า เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คุณก็จะมาถึงสุดขอบที่ผู้ชนะทั้งหลายเขามาถึงกัน การกัดไม่ปล่อยแบบนี้ ส่งผลให้คุณเห็น แรกๆคุณแทบตาย แต่เมื่อค่อยๆหัดไป ในที่สุดคุณก็จะทำได้เป็นนิสัย

ผมเคยใช้เทคนิคนี้ เพื่อเอาชนะผู้แข่งขัน ผมคิดว่าการจะชนะคนบางคน ที่มีพรสวรรค์ในร่างกายดีกว่าผม ผมจะต้องมีวินัยในตัวเองที่เยี่ยมยอด นั่นหมายความว่า ผมจะต้องมีความพยายามมากกว่าคนอื่นนั่นเอง

ข้อควรจำคือ "การมีวินัยในตัวเอง" เป็นเรื่องของการควบคุมจิตใจ ใครก็ตามที่ควบคุมใจตัวเองไม่ได้ เขาผู้นั้นก็ควบคุมการกระทำของตัวเองไม่ได้ และคนที่ควบคุมการกระทำไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะสร้างความสำเร็จให้ตัวเองได้สักเรื่อง คุณจะต้องเลือกเป้าหมายของคุณ สร้างเสียงในจิตใจคุณขึ้นมา และอะไรที่อาจมีอิทธิพลทำให้จิตใจคุณเบื่อหน่ายวินัยในตัวเองได้แล้วละก็ จงอยู่ห่างๆไว้ดีที่สุด

คำพูดสุดท้ายของบทความนี้คือ ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่ได้อ่านบทความนี้จบ คุณสมควรที่จะยกระดับความมีวินัยในตัวเองของคุณให้สูงขึ้น แล้วมันจะให้ผล อย่างที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับ รอช้าทำไมเล่าครับ

ที่มา : www.tuvayanon.net





อาจเป็นเพราะภาพของการทำงานทางด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพราะทุกวันนี้ คนที่ทำงานทางด้าน human resource - HR ไม่เพียงเป็น "คู่คิด" และ "คู่คุย" กับผู้บริหารรดับสูง หากจะต้องพัฒนาขีดความสามารถของตัวเองหลายอย่างด้วย

ที่สำคัญ ขณะนี้ในหลายหน่วยงานของแต่ละองค์กร พยายามเพิ่มหน่วยงานใหม่ หรือแตกแขนงจากฝ่าย HR ไปเป็นฝ่ายต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทางด้านพัฒนาคน (human resources development) หน่วยงานพัฒนาองค์กร (organizational development) และหน่วยงานฝึกอบรม (training division)

ที่ปัจจุบัน อาจเปลี่ยนเป็นหน่วยงานแห่งการเรียนรู้ (learning division) เหตุนี้เอง จึงทำให้บุคลากรทางด้าน HR มีความต้องการในตลาดค่อนข้างมาก แถมค่าตัวยังสูงด้วย แต่กระนั้น คนที่ทำหน้าที่ HR management และ HR development ก็จะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ด้วย

และจะต้องทำงานเป็นหุ้นส่วนในเชิงกลยุทธ์ได้ (strategic partner) ที่สำคัญ จะต้องประเมิน และพัฒนาผลการทำงานของตนเอง เพื่อให้สามารถตามกระแสธุรกิจของโลกด้วย

คำถามจึงเกิดขึ้นตามมาว่า และคุณลักษณะของ HR ที่ดี จะต้องมีอะไรบ้าง ?

ซึ่งเรื่องนี้ เมื่อไปถาม "อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา" ผู้บริหาร และที่ปรึกษา บริษัท สลิงก์ชอท จำกัด เขาจึงอธิบายให้ฟังว่า...คือผมมีโอกาสอ่านงานวิจัยฉบับหนึ่ง จากการความร่วมมือในการวิจัยจากหลายๆ องค์กร และมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน และองค์กรอื่นๆ ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก พบว่าทักษะของนักบริหารทรัพยากรบุคคลมืออาชีพ (HR) กำลังเป็นที่ต้องการของหลายๆ องค์กรในการที่จะสร้างความแตกต่างให้กับตัวองค์กรเอง
"ซึ่งสามารถพูดได้ว่าผลลัพธ์ทางธุรกิจที่องค์กรได้นั้น 20% มาจากทักษะของบุคลากร และการศึกษาเกี่ยวกับคุณลักษณะของ HR ครั้งล่าสุดในปี 2550 นี้พบว่า ผู้เชี่ยวชาญในด้าน HR ควรจะต้องมี 6 คุณลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้คือ"

หนึ่ง credible activist (นักกิจกรรมที่น่าเชื่อถือ) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องมีความน่าเชื่อถือ และมีความคล่องแคล่วในการทำงาน นั้นหมายถึง เขาต้องได้รับความเชื่อมั่น ความเคารพ ความนิยม การรับฟัง และเหนือสิ่งอื่นใดคือมีความคิดเห็น และจุดยืนที่มีเหตุผลของตนเองอย่างชัดเจน
ซึ่งจากการวิจัยพบว่า มีแค่ 20% ของผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR เท่านั้น ที่มีคุณลักษณะในเรื่องของการเป็นนักกิจกรรมที่น่าเชื่อถือในระดับที่ยอดเยี่ยม ในขณะที่ 60% สามารถพัฒนาได้โดยการฝึกอบรม และสร้างความเข้าใจกับคุณลักษณะดังกล่าว แต่อีก 20% ที่เหลือ ไม่สามารถพัฒนาได้ เนื่องจากเขาไม่มีทักษะ และบุคลิกลักษณะที่จำเป็นสำหรับการพัฒนา

สอง culture and change steward (ผู้พิทักษ์ด้านวัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลง) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ต้องมองออก และสามารถช่วยในการวางแบบแผนในการสร้างวัฒนธรรมขององค์กรได้

ซึ่งวัฒนธรรมคือการกระทำที่ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ทำเพียงครั้งเดียว ยกตัวอย่างเช่น องค์กรแห่งหนึ่งมีการจัดงาน หรือกิจกรรมเพื่อการตลาดอยู่เป็นประจำ พนักงานทุกคนในองค์กรจะมาช่วยกันในงานกิจกรรมทุกครั้ง โดยไม่ได้มองว่าเป็นหน้าที่ หรือไม่เป็นหน้าที่ และนี่คือวัฒนธรรมอย่างหนึ่งขององค์กรที่เรียกว่า การทำงานเป็นทีม หรือ teamwork

สำหรับผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR การเป็นผู้พิทักษ์ด้านวัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงเริ่มจากการเข้าใจในความต้องการของลูกค้าภายนอกอย่างถ่องแท้ก่อน แล้วนำความเข้าใจเหล่านี้มาแปรเปลี่ยนให้เป็นพฤติกรรมของพนักงาน และองค์กร จนก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องสามารถช่วยให้วัฒนธรรมเกิดขึ้นได้จริงๆ และพัฒนาจนกระทั่งเป็นวินัยไปทั่วทั้งองค์กร การวางแผน และลงมือทำตามกลยุทธ์ หรือโครงการที่วางไว้ในการพัฒนาวัฒนธรรมขององค์กร จะทำให้สิ่งที่รู้กันอยู่แล้วภายในองค์กรเป็นสิ่งที่ทำกันจริงๆ

สาม talent manager/organization designer (นักบริหารคน-นักออกแบบองค์กร) หมายความว่าในการบริหารคน (talent management) และการออกแบบองค์กร (organization design) ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะเก่งเพียงด้านทฤษฎีอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่จะต้องเก่งเรื่องของการวิจัย วิเคราะห์ และลงมือปฎิบัติด้วย

ในเรื่องการบริหารคน หรือ talent management เน้นที่การบริหารคนตั้งแต่การก้าวเข้ามาในองค์กร การขึ้นตำแหน่ง การวางเส้นทางในสายอาชีพ การย้ายแผนก หรือแม้แต่การออกจากองค์กรของบุคคลเหล่านั้น

ส่วนการออกแบบองค์กร หรือ organization design จะเน้นในเรื่องของการออกแบบระบบ โครงสร้าง กระบวนการ และนโยบายขององค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถทำงาน และแข่งขันในตลาดได้ดีที่สุด

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องเก่งในทั้ง 2 เรื่องนี้ เพราะผู้ที่เก่งในเรื่องการบริหารคนอย่างเดียว จะไม่สามารถรักษาคนเหล่านี้เอาไว้ ถ้านโยบาย ระบบ หรือแม้แต่โครงสร้างขององค์กรไม่อำนวยในการเก็บรักษาเขาเหล่านี้ไว้ ในขณะที่ผู้ที่เก่งในเรื่องการออกแบบองค์กร แต่ไม่เก่งเรื่องการบริหารคน ก็จะไม่สามารถรักษาคนดี คนเก่งไว้ได้ ซึ่งนั่นหมายถึงองค์กรจะไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างเต็มที่

สี่ strategy architect (นักวางกลยุทธ์) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และต้องมองให้ออกถึงความสำเร็จขององค์กรในอนาคตว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้เพื่อที่จะสามารถแสดงบทบาทสำคัญในการที่จะช่วยองค์กรไปให้ถึงเป้าหมายได้

ซึ่งทักษะนี้คือการเข้าใจ และมองเห็นถึงแนวโน้มของธุรกิจ และผลกระทบต่างๆ ที่พึงมีต่อองค์กร เพราะผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องสามารถคาดคะเนได้ว่าอะไรเป็นอุปสรรคสำหรับองค์กรในอนาคต และเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับอุปสรรคต่างๆ เหล่านั้น

ตัวอย่างของการมองออกไปในอนาคต คือการที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องมองออกว่าองค์กรมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้น สืบเนื่องมาจากการขยายตัวของธุรกิจในภาครวม และแน่นอนเขาต้องมองให้ออกว่าอะไรจะเป็นอุปสรรคในการเติบโตนี้

ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของกำลังการผลิต ดังนั้น สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR สามารถทำได้คือการเตรียมตัวให้พร้อมกับการเพิ่มกำลังการผลิต นั้นอาจหมายถึง จำนวนพนักงานในสายการผลิตที่จะต้องมีมากขึ้น

ที่สำคัญ การเตรียมพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้องค์กรไม่ติดขัดกับการขาดบางสิ่งบางอย่างในการทำงาน ผลที่ได้คือการองค์กรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นด้วย

ห้า operational executor (นักดูแลการปฏิบัติการ) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ไม่ใช่แค่มองภาพกว้าง และวางแผนอย่างเดียว แต่จะต้องดูแลในส่วนของการปฎิบัติงานทั้งในแง่ของคน และองค์กรด้วย ตัวอย่างของการดูแลในแง่ขององค์กร คือ การมีส่วนร่วมในการช่วยร่าง ดัดแปลง และการลงมือปฏิบัติตามนโยบาย

ในส่วนของการดูแลการปฏิบัติงานของคน เช่น การดูแลเรื่องการรับพนักงานใหม่ ค่าจ้าง สวัสดิการ และการพัฒนาบุคคล เพื่อบุคลากรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หก business ally (พันธมิตรทางธุรกิจ) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR สามารถเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จขององค์กรได้โดยการเรียนรู้ถึงแนวทางการดำเนินงานขององค์กร รู้ว่าองค์กรได้เงินจากอะไร ใครคือลูกค้า และทำไมพวกเขาจึงซื้อสินค้าหรือบริการจากเรา

นอกจากนี้ยังจะต้องรู้ถึงระบบการทำงานในเบื้องต้นของแผนก หน่วนงานต่างๆ ภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเงิน การบัญชี ฝ่ายการตลาด ฝ่ายวิจัย หรือแม้แต่ฝ่ายวิศวกรรม ทั้งนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนการทำงานของพวกเขาได้อย่างไร

ถึงตอนนี้ หลายคนคงพอมองออกแล้วว่าคุณลักษณะของ HR ในศตวรรษที่ 21 มีอะไรบ้าง ที่สำคัญ 4 ใน 6 คุณลักษณะดังกล่าวมีผลอย่างมากต่อความสำเร็จในการเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ถึง 75%

ซึ่ง 4 คุณลักษณะที่ว่าคือ การเป็นนักกิจกรรมที่น่าเชื่อถือ, การเป็นผู้พิทักษ์ด้านวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลง, การเป็นนักบริหารคน-นักออกแบบองค์กร และการเป็นนักวางกลยุทธ์

ที่ปัจจุบัน ผู้บริหารระดับสูงในหลายๆ องค์กร เริ่มจะมองหาผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาคนดีคนเก่ง กล้าเปลี่ยนแปลง และพัฒนาวัฒนธรรมขององค์กร ที่สามารถมองเข้าไปในตลาดใหม่ๆ เพื่อธุรกิจในอนาคตขององค์กร

ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ที่ดี จึงต้องนำความคิดเห็นของลูกค้าภายนอกมาเป็นแนวทางในการวางนโยบายและกลยุทธ์ของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ขณะเดียวกัน ก็จะต้องพยายามเชื่อมโยง เพื่อให้ไปสู่แนวทางการปฏิบัติงานของพนักงาน และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

ซึ่งนั่นไม่เพียงจะเป็นคุณลักษณะของ HR ที่ดี หากยังเป็นคุณลักษณะของ HR ในปี 2011 ด้วย
แล้วองค์กรของคุณล่ะมี HR แบบนี้บ้างหรือเปล่า ?

ที่มา : toodcheefha.exteen.com





ปัญหาและจุดอ่อนของการกำหนดกลยุทธขององค์กรคือ ไม่สามารถทำให้เป็นไปได้ในภาคปฎิบัติ และถึงแม้ว่าจะได้มีการวางแผนกำหนดกลยุทธอย่างเป็นระบบแล้วก็ตาม ในทางปฎิบัติอาจจะพบว่าในหลายๆ ครั้งกลยุทธเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมาจากการกระทำกิจกรรมของสมาชิกในองค์กร ซึ่งเป็นผลการศึกษาวิจัยที่ เจมส์ ไบรอัน ควินส์ ได้มาจากการศึกษานักกลยุทธในองค์กรบรรษัทข้ามชาติจำนวน 9 องค์กร และพบว่า กลยุทธที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะของการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Logical Incrementalism)

ในลักษณะนี้กลยุทธเกิดจาก ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรกำหนดเป้าหมายและนโยบายอย่างกว้างๆ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ระดับล่างได้เสนอความคิดเห็น กำหนดการกระทำ ชี้แนวทางที่ค่อยๆ หล่อหลอมรวมกันจากระดับล่างสุดขององค์กรสู่ระดับสูงขึ้นจนถึงสุดยอดของการบริหารในองค์กรในที่สุด ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า กระบวนการทำงานของฝ่ายต่างๆ ในองค์กรที่มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวยนี้จะมีผลต่อการกำหนดกลยุทธขององค์กรในที่สุด

แนวความคิดการก่อตัวขึ้นของกลยุทธที่เริ่มจากระดับล่างขึ้นไปสู่ระดับนี้จึงมีความแตกต่างอย่างสำคัญจากการกำหนดกลยุทธโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญมีความเป็นไปได้ว่า โครงสร้างและกระบวนการภายในจะเป็นตัวกำหนดกลยุทธมากกว่าการที่กลยุทธเป็นตัวตั้งและกำหนดการบริหารจัดการภายใน

ที่มา: หนังสือองค์การ ทฤษฎี โครงสร้างและการออกแบบ โดยอัมพรธำรงลักษณ์




ถาม ซิทอัพวันละหลายครั้ง พุงไม่ลด กล้ามท้องก็ไม่ขึ้นเสียที เป็นเพราะอะไร

ตอบ การซิทอัพ คือการทำให้หน้าท้องแข็งแรงเท่านั้นครับ ไม่ได้ทำให้พุงลด หรือผอมลง หรือเกิดกล้ามท้องเป็นลอนได้หรอกครับ ผมขออธิบายเรื่องกล้ามท้องก่อนสักนิดนะครับ ความคิดที่ว่าบริหารแต่กล้ามท้องมากๆ แล้วพุงจะลดจนมีหน้าท้องเป็นลอนนั้น เป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลยครับ เหตุผลก็คือ ในร่างกายเราทุกคน จะมีชั้นไขมันคลุมเป็นแผ่นบางๆ (เขาเรียกว่า Layer) ไว้ทั่วร่าง ใครก็ตามที่ทำให้แผ่น Layer นี้บางลงได้ คนนั้นก็จะมีกล้ามเนื้อชัดทั้งตัวครับ รวมไปถึงหน้าท้องด้วย

เมื่อดูภาพทั้งสองแล้ว ก็จะเห็นว่าขนาดร่างกายของทั้งสองภาพแทบไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็นแขน เอว ฯลฯ แต่เมื่อรีดเอาชั้นไขมัน (Layer) ออกจากภาพทางด้านซ้ายแล้ว ก็จะเห็นว่าภาพทางขวา เห็นกล้ามท้องชัดขึ้น และกล้ามส่วนอื่นๆก็ชัดตามไปด้วย ไม่ใช่ชัดแค่กล้ามท้องอย่างเดียว

ในทางกลับกัน ถ้าคุณบริหารแต่หน้าท้อง โดยหวังที่จะให้ Layer ตรงหน้าท้องหายไปที่เดียว เพื่อจะได้กล้ามท้องชัดๆนั้น ไม่มีทางทำได้ครับ แล้ววิธีแก้คืออะไร วิธีแก้ก็คือต้องออกกำลังกาย ให้ร่างกายไปนำเอา Layer เหล่านี้มาแปลงเป็นพลังงาน การทำเช่นนี้จะทำให้ Layer บางลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้พลังงานมากแค่ไหนนั่นเอง และวิธีดีที่สุดคือการเพาะกายครับ คุณเพาะกายครึ่งชั่วโมง โดยยกน้ำหนักมากๆ ยังมีค่ามากกว่าไปวิ่งตั้งสามชั่วโมง เพราะการวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบ arobic คือใช้ออกซิเจนมาสร้างพลังงาน แต่การยกน้ำหนักจะใช้พลังงานในร่างกาย (ที่มาจาก Layer) เป็นวัตถุดิบครับ เรียกว่า nonarobic จึงทำให้คุณสลาย Layer ได้ดีกว่า

เมื่อเรามีอายุมากขึ้น อัตราการเผาผลาญอาหาร (Metabolism) ก็จะช้าลงครับ สมมติว่าในวัยที่คุณอยู่วัยรุ่น คุณทานข้าวหนึ่งจาน ร่างกายก็เผาผลาญเป็นพลังงานไปหมด โดยไม่เหลือเก็บไว้ จึงทำให้คุณในวัยนั้นไม่มีไขมันจับตามหน้าท้องหรือต้นขา หรือใต้คางครับ คราวนี้เมื่อคุณอายุมากขึ้น คุณทานข้าวจานเดียวกันนั้น ในปริมาณเท่ากัน แต่เนื่องจากร่างกายมีอัตราการเผาผลาญอาหารที่ต่ำลงกว่าแต่ก่อน จึงทำให้ยังไม่ทันที่จะเผาผลาญอาหารพวกนั้น เป็นพลังงานได้หมด มันก็หนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ใต้ผิวหนังคุณซะแล้ว (ไปซ่อนเป็น Layer ไงครับ) ก็คือไขมัน หรือความหนาที่หน้าท้องคุณยังไงเล่าครับ

ดังนั้นวิธีแก้มีสองวิธีคือ 1.เอา Layer ที่มีอยู่แล้วออก และข้อ 2.กำจัดสิ่งที่จะไปเป็น Layer ใหม่ซะ และสองวิธีนี้ วิธีการมีอยู่ข้อเดียวครับ คือการออกกำลังกาย โดยข้อ 1.ที่ว่าให้เอา Layer ที่มีอยู่แล้วออกนั้น ผมก็ได้อธิบายไปแล้วข้างต้นนะครับ ส่วนข้อ 2. ที่ว่ากำจัดสิ่งที่จะไปเป็น Layer ก็คือการทำให้อัตราการเผาผลาญอาหารสูงขึ้นนั่นเองครับ และวิธีที่จะทำให้มันสูงขึ้นก็คือการเพาะกายครับผม

ย้อนกลับมาเรื่องการซิทอัพสักเล็กน้อยนะครับ ว่าทำไมมันก็เป็นการเล่นกล้ามอย่างหนึ่ง แต่ทำไมละลาย Layer ไม่ได้ ความจริงมันละลายได้ส่วนหนึ่งนะครับ แต่ถ้าคุณซิทอัพอย่างเดียว มันใช้พลังงานน้อยมากครับ อย่างมากก็ไม่เกิน 50 แครอลี แต่อาหารที่เราทานเข้าไปทุกวันน่ะ จะอยู่ที่ 2,000 แครอลี่ คิดดูแล้วกันว่าคุณใช้พลังงานไปแค่นิดเดียว ดังนั้นที่เหลือมันก็กลายเป็นไขมันน่ะสิครับ นี่แหละคือคำตอบที่ว่าคุณควรจะเพาะกายเต็มรูปแบบ เพื่อให้มันเอาไขมันพวกนั้น มาสลายตัวเป็นพลังงาน แล้วใช้ให้หมดไปครับ

ส่วนถ้าสงสัยว่า แล้วการวิ่งจะลดหน้าท้องได้หรือไม่ ก็ได้ว่า ได้ครับ แต่สู้การเพาะกายไม่ได้ เพราะมีงานวิจัยออกมาแล้วว่า จริงอยู่ที่ขณะเราที่เราวิ่งออกกำลังกาย ใช้เวลาเท่าๆกับการเพาะกายนั้น การวิ่งจะเอาไขมันมาสลายเป็นพลังงานได้มากกว่า แต่ว่าทันทีที่เราพัก คือหมายถึงเลิกออกกำลังกายในแต่ละวันแล้ว การเพาะกายจะทำให้ขบวนการเผาผลาญไขมันนั้น ดำเนินไปตลอดเวลา ส่วนผู้ที่เป็นนักวิ่ง ขบวนการมันหยุดตั้งแต่หยุดวิ่งแล้ว แล้วคิดดูว่า วันหนึ่งมี 24 ชม. แต่สำหรับการวิ่ง มันจะเผาผลาญไขมันแค่ช่วงเวลาวิ่ง ก็ประมาณ ไม่ถึงชั่วโมง เทียบกับการเพาะกายแล้ว มันเผาผลาญตลอดทั้งวันเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานยืนยัน โดยคุณอ่านได้ในเรื่อง ไม่ต้องวิ่ง



เพื่อนผม น้ำหนักตัว 80 กิโลกรัม อยากได้กล้ามท้องมาก เลยเน้นแต่เล่นกล้ามท้องอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วก็วิ่งวันละหลายชั่วโมงจนแทบเป็นลม กล้ามท้องก็ไม่ขึ้นสักที พลอยจะทำให้เบื่อการออกกำลังกายเอาเสียง่ายๆ เพราะไม่เห็นผลเสียที แต่ถ้าคุณเปลี่ยนจากการวิ่งนั้น มาเป็นการเพาะกายเพียวๆ ผลของมันจะแตกต่างออกไป น้ำหนักตัวคุณแค่ 80 กิโลกรัมเท่านั้น ลองมาดูนักเพาะกายที่หนัก 116 กิโลกรัม แต่ไม่เล่นกล้ามท้องเลย แม้กระทั่งเหลืออีก 1 เดือนก่อนการประกวด เขาก็ยังไม่เล่นกล้ามท้องอยู่ดี คนนั้นก็คือ เด็กเธอร์ แจ็คสัน ที่อยู่ในภาพข้างล่างนี้ครับ



เด็กเธอร์ แจ็คสัน อายุ 40 ปี สูง 167.5 ซม. หนัก 116 กิโลกรัม
"ไม่เล่นกล้ามท้อง"

อยู่ๆ ผมคงไม่อุปโลกน์ขึ้นมาเองหรอกครับว่าคุณเด็กเธอร์ แจ็คสัน ไม่เล่นกล้ามท้อง เพราะผมติดตามเขามานานแล้ว เอกสารหลักฐานก็มีชัดเจน ทั้งคำพูดต่างๆที่ไม่ได้มีการ เซ็ทคำพูดไว้ก่อน ก็บอกไว้ชัดเจนเช่นกัน (ขออธิบายตรงนี้นิดนึงนะครับ "คำพูดที่เซ็ทไว้ก่อน" หมายความว่า เนื่องจากนักเพาะกาย บางคนก็ชอบกินแฮมเบอร์เกอร์ ,พิซซ่า ซึ่งถือเป็นของต้องห้าม (มากๆ) สำหรับช่วงเตรียมตัวก่อนการประกวด แต่ด้วยความที่มีคนติดตามผลงานพวกเขาเยอะ เวลาที่เราอ่านนิตยสาร เขาก็จะมีคำพูดที่เซ็ทไว้ก่อนการสัมภาษณ์ ซึ่งมักจะพูดถึงการทานที่เข้มงวด ไม่กินอาหารขยะ (ก็คือแฮมเบอร์เกอร์ และพิซซ่า) เพื่อจะได้เป็นแบบตัวอย่างที่ดีของคนอ่านโดยทั่วไปนั่นเอง)

มาดูเรื่องตารางฝึกของเขากันก่อนครับ มาจากนิตยสารเฟล็ก ฉบับเดือน กันยายน 2552 ซึ่งเหลือเพียง 1 เดือนก็จะต้องขึ้นประกวดมิสเตอร์โอลิมเปียแล้ว (ประกวดเดือนตุลาคม 2552)


นิตยสารเฟล็ก ฉบับเดือนกันยายน 2552
ที่หน้า 191 ครับ(ดูภาพจากหน้าที่ว่านี้ ข้างล่างครับ)


ตารางฝึกของเด็กเธอร์ แจ็คสัน "ไม่มีการฝึกกล้ามท้อง"

นิตยสารเฟล็ก ฉบับเดือนสิงหาคม 2552
ที่หน้า 190 ครับ
(ดูภาพจากหน้าที่ว่านี้ ข้างล่างครับ)


(ศรชี้) Never!

เพื่อป้องกันข้อครหา ที่จะหาว่าผมแอบตัดบางคำเอามาให้อ่าน เพื่อหวังผลจะให้คุณเชื่อ ผมจึงท้าพิสูจน์โดย ประการแรก ผมบอกเลยว่าภาพข้างบนนี้มาจาก นิตยสารเล่มไหน หน้าไหน ให้คนที่ไม่เชื่อผม ไปเปิดอ่านได้เลย ประการที่สอง ผมแสกนคำพูดมาให้ดู "ทั้งพวง" ตามภาพข้างบน แทนที่จะแสกนเอามาเฉพาะส่วนที่ต้องการให้อ่านอย่างเดียว

คือว่าบทความที่ผมเอามาให้อ่านนี้ เกี่ยวกับวาระพิเศษ ที่ให้คนสนใจส่งคูปองไปชิงโชค แล้วทางนิตยสารเพาะกาย ก็จะจับฉลาก ใครโชคดี ก็จะมีนักเพาะกายซูเปอร์สตาร์ก็จะไปหาคนนั้นที่บ้าน แล้วชวนไปกินข้าว โดยบทสนทนานี้คือคำพูดระหว่างคุณวิคเตอร์ (ผู้โชคดี) กับคุณแจ็คสัน (นักเพาะกายนั่นเอง) ที่พากันออกมาทานข้าว ,ซื้อของ เสร็จแล้วก็พากันมาออกกำลัง แล้วผมก็ตัดส่วนที่เป็นบทสนทนาตอนที่ในโรงยิมมาให้อ่านนี้

หลังจากบริหารท่า Flat bench dumbbell flyes อันเป็นท่าจบสำหรับการบริหารหน้าอกแล้ว วิคเตอร์ก็ถามแจ็คสันว่า เราจะบริหารอะไรต่อล่ะ ,แจ็คสัน งง (ทำนองว่าทำไมจะต้องบริหารต่อหรือ?) ,ตอนนี้ คิดว่าวิคเตอร์ กำลังรอให้แจ็คสันคิดได้ว่าน่าจะต้องบริหารกล้ามท้องต่อ เพราะคนทั่วไปก็มักจะบริหารกล้ามท้องเป็นท่าสุดท้ายก่อนจบการบริหารในแต่ละวัน ,แจ็คสัน คงจะพึ่งคิดออก เลยบอกออกมาชัดเจนเลยว่า "ผมไม่เล่นกล้ามท้อง" ,วิคเตอร์งง จนต้องถามซ้ำว่า ไม่เคยเล่นกล้ามท้องเลยเหรอ? ,แจ็คสัน ย้ำอีกที "ไม่เคย"

วิเคราะห์
  1. แจ็คสันบอกว่า don't do abs ก็คือไม่เล่นกล้ามท้องเลย ไม่ได้บอกว่า ไม่เล่นกล้ามท้องหลังการเล่นกล้ามหน้าอก ,หรือว่าไม่เล่นกล้ามท้องในช่วงเวลานี้ นะครับ
  2. คำว่า Never ของแจ็คสันนั้น ไม่ได้หมายความว่าตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเล่นกล้ามท้องนะครับ แต่เขาต้องการย้ำให้นายวิคเตอร์รู้ว่า เขาไม่เล่นกล้ามท้อง เท่านั้นเอง คือหมายความว่าเขาอาจจะเล่นเมื่อปีที่แล้ว หรือหลายปีก่อนหน้านั้น แต่ ณ.ช่วงเวลานี้ (ก่อนการประกวด) เขาไม่เล่นกล้ามท้อง และก็ไม่มีในตารางฝึกของเขาเลย
  3. ยิ่งกล้ามคอ ,กล้ามแขนท่อนปลาย ไม่ต้องพูดถึงเลย เท่าที่ผมติดตามอ่านมา มีนักกล้ามโดยทั่วไปไม่ถึง 5% เลยที่จะเล่นกล้ามสองส่วนนี้ (คอ กับแขนท่อนปลาย)

ไม่ว่ารูปแบบ "ความเชื่อ" เกี่ยวกับกล้ามท้องก่อนหน้านี้ของคุณจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผมแสดงให้คุณเห็นเกี่ยวกับนักเพาะกายผู้นี้ (เด็กเธอร์ แจ็คสัน) เป็น "ข้อเท็จจริง" ก็ลองชั่งน้ำหนักดูระหว่าง แค่ความเชื่อ กับ ข้อเท็จจริง ก็คงจะรู้นะครับว่าอันไหนน่าสนับสนุนมากกว่า ก็ต้องเป็นตัว "ข้อเท็จจริง" อยู่แล้ว

สรุป เพื่อนสมาชิก น้ำหนักตัว 80 กิโลกรัม คิดเอาเองว่า หนทางสู่การมีกล้ามท้องมีหนทางเดียว คือต้อง "เล่นกล้ามท้อง" เท่านั้น ถามว่า ที่คุณเล่นกล้ามท้องวันละเป็นพันครั้ง เล่นติดต่อกันมาเป็นปีๆ สามารถสู้กล้ามท้องของคนที่ หนัก 116 กิโลกรัม "แต่ไม่เล่นกล้ามท้องเลย" เลยได้ไหม ต้องกลับไปคิดใหม่นะครับว่า การเล่นกล้ามท้องไม่ได้ทำให้เกิด Six Pack อย่างที่เข้าใจกัน

ทิ้งท้าย แล้วอะไรล่ะที่ทำให้กล้ามท้องแจ็คสันคมอย่างนี้ คำตอบก็คือการ ลด Layer ของชั้นผิวหนังเท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับการบริหารกล้ามท้องเลยครับ ส่วนรายละเอียดของการที่แจ็คสันมีกล้ามท้องที่คมกริบตามที่เห็นในรูปนั้น มีอะไรบ้าง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคส่วนตัวของแจ็คสันไป (ซึ่งหลักใหญ่ๆก็หนีไม่พ้นการเพิ่มปริมาณมัดกล้าม เพื่อไปช่วยสลายไขมัน ,การเพิ่มการทำคาร์ดิโอเข้าไปในช่วงก่อนการประกวด ฯลฯ) แต่ในส่วนของหน้านี้ ผมเอาเรื่องของแจ็คสัน มาชี้ให้เห็นว่า Six Pack ไม่ได้เกิดจากการเล่นกล้ามหน้าท้อง อย่างที่พวกเราๆ ท่านๆ เข้าใจกัน การที่คุณขยันเล่นกล้ามท้องวันละเป็นพันครั้งนั้น ก็ชี้ให้เห็นว่าคุณขยันและเอาใจใส่ดีอยู่หรอก แต่ถ้าคุณจับหลักถูก ไม่หลงคิดว่าต้องเล่นกล้ามท้องแบบเอาเป็นเอาตาย จึงจะได้ Six Pack ก็คงจะทำให้คุณหาหนทางอื่น ที่ประหยัดเวลา และพละกำลังที่ใช้บริหารไปได้มากทีเดียว จะได้เหลือเวลาไปทำอย่างอื่นบ้างน่ะครับ

ที่มา www.tuvayanon.net




เป็นเรื่องที่แปลกใจไม่น้อย เมื่อรู้ว่า "รองเท้าส้นสูง" ที่ผู้หญิงใส่อยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะช่วยเสริมความมั่นใจ แถมใส่กับชุดอะไรก็ดูสวยนั้น จะมีผลกระทบต่อ "อารมณ์" ของผู้หญิง

ยิ่งใส่ส้นสูงมากเท่าไร ยิ่งทำให้อารมณ์ผู้หญิง "แปรปรวน" มากยิ่งขึ้น เป็นการยืนยันจาก นายวัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา และที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

นายวัลลภบอกว่า ฝ่าเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญ ที่มีเส้นใยประสาทต่างๆ รวมอยู่ ทั้ง สมอง ตับ ไต ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ซึ่งเท้าเป็นศูนย์รวมปลายประสาทเหล่านี้ เวลาผู้หญิงสวมรองเท้าส้นสูง ปลายเท้าไม่สามารถสัมผัสพื้นได้หมด เหมือนไม่ได้บริหารอวัยวะได้ครบถ้วน จึงส่งผลให้สุขภาพไม่ดี

นำไปสู่อารมณ์แปรปรวน ซึ่งส่วนใหญ่เวลาเดินจะมีเพียงส้นเท้า หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้าสัมผัสกับพื้นเท่านั้น จึงทำให้เส้นใยประสาทที่อยู่ฝ่าเท้านั้นทำงานไม่เต็มที่ และยังทำให้อารมณ์เสีย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และขี้หงุดหงิด

"อย่างนิ้วหัวแม่โป้งกับนิ้วชี้ นิ้วกลางของฝ่าเท้า หากส่วนนี้สัมผัสพื้นบ่อยๆ โดยฝ่าเท้าอื่นๆ ไม่ได้เดินลงพื้นเต็มๆ จะส่งผลถึงเรื่องตา หู จมูก จะทำให้ผู้หญิงรับรู้ไวขึ้น เช่น เมื่อเสียงดัง จะตกใจ และกลายเป็นคนขี้ตกใจ อ่อนไหวง่าย อารมณ์ไม่หนักแน่น ซึ่งต่างจากผู้ชายที่เดินเต็มฝ่าเท้า พวกเขาจึงแข็งแกร่ง ไม่อ่อนไหวง่ายเหมือนผู้หญิง"

เพราะรองเท้าส้นสูงเป็นเครื่องแต่งกายส่วนหนึ่งที่ผู้หญิงขาดไม่ได้ แต่ถ้าใส่ทุกวัน โดยที่ไม่เปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นเตี้ยเลย อาจส่งผลเสียได้ในระยะยาว

จิตแพทย์วัลลภบอกว่า เท้าเป็นเส้นรวมประสาท พอผู้หญิงใส่รองเท้าส้นสูงมาก หน้าเท้า ส้นเท้า ปลายเท้าจึงเดินไม่เสมอกัน ศาสตร์ของภูมิปัญญาไทย บอกไว้ว่า หัวแม่โป้งคือสมอง ตา หู จมูก หากเดินเน้นเพียงส้นเท้า หรือปลายเท้าอย่างเดียว จะทำให้สมองไวเกินไป อ่อนไหวง่าย เรียกว่า over sensitive

หากเดินเน้นเอาส้นเท้าลงเท่านั้นจะทำให้ปวดท้อง ส่วนตรงฝ่าเท้า คือปอด หัวใจ กระเพาะ ตับอยู่ ลำไส้ ส่วนอารมณ์ ความรู้สึกอยู่ใกล้ๆ กับส้นเท้า เพราะทุกวันที่ใส่ส้นสูงทำให้ไม่ได้เดินเต็มเท้า การทำงานในระบบร่างกายจึงไม่สมบูรณ์

และนอกจากจะส่งผลเรื่องอารมณ์แล้ว ยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ สามารถทำให้เป็นพังผืดได้ ช่วงน่องขา จะเสีย ทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับโครงสร้างของกระดูก ที่สำคัญอาจเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน ทั้งสะดุดล้ม ขาพลิก


ส่วนความสูงของรองเท้าที่มีผลกับผู้หญิงนั้น คือ ต้องสูง 3 นิ้วขึ้นไป และสวมใส่เป็นระยะเวลานาน บ่อย และถี่ จึงจะส่งผลกับอารมณ์ สุขภาพ

นายวัลลภบอกด้วยว่า อยากใส่รองเท้าส้นสูงสามารถใส่ได้ เวลาอยากไปงาน หรืออยากแต่งตัวสวยๆ แต่เวลาทำงานให้ใส่รองเท้าส้นเตี้ยประมาณ 1 นิ้ว หรือใส่สลับกับรองเท้าส้นสูงบ้าง และเวลาเดินไม่ควรเอาส้นเท้าลง หรือปลายเท้าลงอย่างเดียว ควรเดินลงพร้อมกัน ให้เต็มฝ่าเท้าดีที่สุด

"นอกจากนี้ ให้ออกกำลังกายด้วยการเดินถอยหลังโดยเอามือดันข้างหลังทั้งสองข้างแล้วเดิน และการนวดฝ่าเท้าจะช่วยกระตุ้นปลายประสาท แต่ไม่มีใครสามารถนวดฝ่าเท้าได้ตลอดชีวิต รวมทั้งถ้ามีโอกาสให้นำเท้าแช่น้ำอุ่นบ้างเพื่อคลายเส้น แต่การรักษาโรคทุกอย่าง ที่ดีที่สุด คือป้องกันอย่าให้โรคมันเกิด?

ของสวยๆ งามๆ สามารถส่งผลร้ายได้เช่นกัน ทางที่ดี สวยแล้วอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะจ๊ะ สาวๆ จ๋า

ข่าวจากมติชน ออนไลน์




โดยทั่วไป เมื่อพูดถึงเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง เรามักจะนึกถึงกันแต่เรื่องของการออกกำลังกาย การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การรักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาดถูกสุขลักษณะเป็นลำดับแรกๆ เรามักจะให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพกายจนแทบจะลืมเรื่องของสุขภาพจิตกันไปเลย ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบนานแล้วว่าเรื่องของสุขภาพจิต โดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์นั้น มีผลต่อสุขภาพกายอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว

นั่นคือ เมื่อมีอารมณ์ไม่ดี เช่น มีความเครียด วิตกกังวล โกรธ กลัว ฯลฯ สมองจะส่งสัญญาณผ่านเซลล์ประสาทไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินออกมา ซึ่ง ฮอร์โมนตัวนี้จะมีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น จนรู้สึกว่าใจสั่น การหายใจถี่เร็วขึ้น จนทำให้รู้สึกวิงเวียน ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น จนรู้สึกปวดศรีษะ เหงื่อออกมากขึ้นโดยเฉพาะตามฝ่ามือฝ่าเท้า เลือดไปเลี้ยงผิวหนังน้อยลง ทำให้รู้สึกมือเท้าเย็น การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง ทำให้รู้สึกว่าท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายน้อยลง ทำให้รู้สึกว่าปากแห้ง คอแห้ง กล้ามเนื้อหดเกร็งตัว ทำให้รู้สึกเจ็บหรือปวดเมื่อย บริเวณกล้ามเนื้อต้นคอ หลัง ไหล่ ตับต้องทำงานหนักเพื่อสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย ฯลฯ

ดังนั้น หากคนเราเกิดอารมณ์ที่ไม่ดีบ่อยๆ หรือเก็บกดอารมณืที่ไม่ดีเอาไว้เป็นเวลานานๆ จะทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ แปรปรวน ร่างกายจะอ่อนแอลง และเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคแผลในกระเพาะอาหาร ตลอดจนโรคมะเร็งของอวัยวะต่างๆ เพราะฮอร์โมนแห่งความเครียดจะทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ จนเกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด

จะสังเกตเห็นได้ว่า คนที่หงุดหงิดง่าย มองโลกในแง่ร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบวิตกกังวล เอาจริงเอาจังจนขาดอารมณ์ขัน ชอบทำหน้าบึ้งตึงอยู่เป็นนิจ มักจะเจ็บป่วยบ่อยๆ ด้วยอาการต่างๆ นานา เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นหวัดบ่อยๆ ปวดเมื่อกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก หายใจติดขัด ฯลฯ นั่นเป็นเพราะอารมณ์ที่ไม่ดีนั่นเอง

ส่วนอารมณ์ที่ดี เช่น อารมณ์รัก อารมณ์ขัน สนุกสนาน ตลอดจนอารมณ์ที่ผ่อนคลาย จะทำให้คนเรารู้สึกสุขใจ สบายใจ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สดชื่น มีชีวิตชีวา และทำให้สุขภาพร่างกายพลอยแข็งแรงไปด้วย เพราะเมื่อมีอารมณ์ที่ดี ฮอร์โมนแห่งความสุขที่ชื่อว่า เอนดอร์ฟินและสารเคมีที่เป็นสื่อประสาทที่ดีจะหลั่งออกมาทำให้อวัยวะต่างๆ ของร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ทำให้เซลล์แต่ละเซลล์มีความแข็งแรง เชื้อโรคไม่สามารถเข้าสู่เซลล์หรือทำอันตรายเซลล์ได้ ร่างกายจึงแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย มีภูมิคุ้มกันโรคมากขึ้น ช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกายลง โดยเฉพาะคนที่มีอาการเจ็บป่วยทางกาย ถ้าทำอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใส หรือรู้สึกทำจิตใจให้สงบ จะช่วยจให้รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงกว่าเดิมได้ นอกจากนี้ ฮอร์โมนแห่งความสุขยังช่วยให้คนเรารู้สึกเคลิบเคลิ้มและผ่อนคลายจากความเครียดได้ด้วย
อารมณ็ที่ดีจึงมีผลในการสร้างเสริมสุขภาพกายเป็นอย่างยิ่ง เราจึงควรหันมาให้ความใส่ใจดูแลอารมณ์ของเราให้มากขึ้น ประคับประคองอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใส่อยู่เสมอ ฝึกหัดตัวเองให้เป็นคนยิ้มง่าย หัวเราะง่าย จับผิดคนอื่นให้น้อยลง ให้อภัย ให้ความเมตตา ทำประโยชน์ให้สังคม ช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งจะนำไปสู่ความรู้สึกอิ่มเอิบใจ และเมื่อใจเป็นสุข กายก็จะเป็นสุขอย่างแน่นอน
ท่องให้ขึ้นใจนะคะว่า " อารมณ์สดใส ใจกายเป็นสุข "

บทความโดย BILL STAR ผู้ฝึกสอนกายบริหาร มหาวิทยาลัยจอน ฮอบกินส์


ด้วยวัย 46 ปี ชาลี เวส เพื่อนสนิทของผม สนใจและเริ่มเพาะกายอย่างจริงจัง เพื่อเข้าประกวดในรายการต่างๆ ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขา อายุระหว่าง 20 - 30 ปี ชาลีสนใจ และฝึกฝนจนเป็น นักกีฬายกน้ำหนัก (weightlifing) แล้วตั้งแต่นั้นมา ชาลีก็ดูแล รักษาทรวดทรง ให้ดูดีตลอดเวลา มาจนถึงทุกวันนี้

เราทั้งสองคนพึ่งกลับมาจากงานบลูกลาส เฟสติวัล ที่ดาร์ลิงตัน ตอนนี้มาพักตากอากาศที่ชายฝั่งกรีก เรานั่งคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระ ผมสังเกตุเห็นว่า ระหว่างที่ชาร์ลีคุยกับผม เขาจะคอยจิบน้ำที่นำติดตัวมาด้วยตลอดเวลา นิสัยการดื่มน้ำของชาลีเปลี่ยนไป เพราะก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนทานน้ำน้อยมาก คงจะมีแค่ตอนแปรงฟันเท่านั้น ที่น้ำสัมผัสริมฝีปากเขา น่าสงสัยจริง

ผมเริ่มบทสนทนาก่อน โดยถามขึ้นว่า "ชาร์ลี ขอถามหน่อยนะเพื่อน อะไรทำให้นายฟิตร่างกาย สำหรับการประกวดเพาะกายล่ะ" ชาร์ลีตอบว่า "คุณจำแจ็ค คิง ได้หรือเปล่า ก็คนที่คุณเคยสัมภาษณ์ลงหนังสือ Muscle Mag เมื่อหลายปีแล้วน่ะ ผมชื่นชมเขามาตั้งแต่ ได้อ่านบทความชิ้นนั้นแล้วล่ะ ต่อมา ผมได้มีโอกาสเจอตัวจริงของเขา และเล่นกล้ามด้วยกัน ทำให้ผมเรียนรู้เคล็ดลับดีๆ สำหรับการสร้างกล้ามมาจากเขามากมาย แล้วคุณอยากรู้ไหมล่ะว่า เคล็ดลับของเขา ที่คุณไม่ได้สัมภาษณ์ไว้น่ะ มันคืออะไร" ชาร์ลียกแก้วน้ำขึ้นมา ผมจึงตอบไปว่า "น้ำ?"

"ถูกต้องแล้ว" ชาร์ลีตอบ "ผมแอบสังเกตเห็นว่า แจ็คดื่มน้ำบ่อยมาก ด้วยความสงสัยนี้ ผมจึงไปหาคำตอบในห้องสมุด และผมได้ค้นพบความรู้ที่น่าสนใจมาก ซึ่งจะถ่ายทอดให้คุณฟังไว้" ผมได้ยินดังนั้นจีงรีบไปหาสมุดปากกามา เพื่อจะเริ่มทำการเล็คเชอร์ทันที "เริ่มเลยสิเพื่อน" ผมบอก

"อากาศมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และรองลงมาก็คือระบบของเหลวในร่างกายเรา และคำว่าของเหลวในที่นี้ เกือบจะทั้งหมดก็คือน้ำนั่นเอง ความสำคัญของน้ำ มีมากกว่าการทานอาหารของเราเสียอีก ผมได้อ่านนิตยสาร เกี่ยวกับการออกกำลัง และการรักษาสุขภาพ มาเป็นร้อยๆเล่มแล้ว หนังสือพวกนั้นล้วนแต่พูดถึง การเลือกรับประทานอาหารทั้งสิ้น แต่ไม่มีเล่มใดที่พูด เกี่ยวกับเรื่องน้ำให้ละเอียดเลย บอกแต่ว่ามันดี แต่ไม่รู้อย่างอื่นเลย ทำให้ผมต้องไปค้นคว้าเอง แล้วนำมาถ่ายทอดอยู่นี่ไงล่ะ" ชาร์ลีหยุดจิบน้ำ แล้วพูดต่อ "ในร่างกายเรา มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือโปรตีน น้ำมีความสำคัญ ต่อทุกกระบวนการในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น การควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ,การสร้าง และกระตุ้นระบบประสาท ,การเผาผลาญอาหาร ,การขับถ่ายของเสีย ,ระบบภูมิคุ้มกัน และอื่นๆอีกมาก"

"ระบบเคมีต่างๆในร่างกาย ต้องใช้น้ำเป็นปัจจัยสำคัญทั้งสิ้น เมื่อคนใดก็ตาม ที่ดื่มน้ำไม่พอ เขาจะเกิด ภาวะร่างกายขาดน้ำ มันจะไปลดการสร้างเม็ดเลือด ทำให้ระบบการทำงานของเลือด มีปัญหา ส่งผลไปถึงการทำงานของระบบหัวใจ ไม่เพียงเท่านี้นะ หากร่างกายขาดน้ำ จะทำให้การลำเลียง ออกซิเจน น้ำ และสารอาหารไปสู่เซลล์กล้ามเนื้อ มีปัญหาด้วย และการค้นพบล่าสุด ยังให้เตือนให้เราทราบว่า การขาดน้ำเพียงเล็กน้อย ระบบสมองของเรา ก็ได้รับผลกระทบด้วย มันทำให้ระบบประสาท ความมีสมาธิ ระบบการคิดด้วยสมอง ตกต่ำลงไปทันที" ชาร์ลีพูดอย่างขึงขัง ผมฟังดังนั้นรู้สึกกลัวทันที จึงถามไปว่า "แล้วร่างกายเรามีการเตือนภัยล่วงหน้าหรือไม่ ว่ากำลังจะเข้าสู่ภาวะ ร่างกายขาดน้ำแล้วน่ะ" ชาร์ลีตอบว่า "นี่ก็เป็นความแปลกอย่างหนึ่ง ที่ผมค้นพบว่า ร่างกายคนเราไม่มีระบบเตือนภัยนี้เลย"

"แล้วอาการกระหายน้ำล่ะ?" ผมถามไป ซึ่งชาร์ลีก็ตอบทันทีว่า "ไม่เลยเพื่อน เพราะการที่เราเกิดการกระหาย นั่นคือคุณเข้าสู่ภาวะอันตรายแล้ว และมันสายเกินกว่าจะแก้แล้วด้วย ถึงตอนนั้นร่างกายคุณ ได้รับความเสียหายไปแล้วไม่มากก็น้อย เพียงแต่คุณไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง เพราะ แม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ที่คุณขาดน้ำ มันก็ทำให้การดำเนินไปของ ระบบเคมีในร่างกายได้รับผลกระทบไปแล้ว มีการทดลองยืนยันว่า ภาวะร่างกายขาดน้ำเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้ประสิทธิภาพ ในการยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดลงไปถึง 10 เปอร์เซนต์ ไม่รวมถึงความเร็ว ในการทำงานของกล้ามเนื้อ ที่จะลดลงไปอีก 8 เปอร์เซ็นต์ ของที่มันเคยเป็นอยู่"

"และนี่คือคำตอบที่ว่า ทำไมนักกีฬาต้องเอาใจใส่ ในการดื่มน้ำเป็นจำนวนมากใช่ไหม" ผมพูดเสริม ชาร์ลีก็ผงกหัวตอบรับว่าใช่ ผมจึงถามในส่วนชองผมว่า " แล้วทำไม ทั้งๆที่เวลาส่วนใหญ่ ผมนั่งอยู่ในออฟฟิศ ไม่ได้ไปเสียเหงื่อที่ไหนเลย บางครั้งเวลาผมพิมพ์ดีด ปรากฏว่านิ้วเป็นตะคริว อาการนี้เป็นผลของ การที่ร่างกายขาดน้ำด้วยไม่ใช่หรือ?" ชาร์ลีตอบว่า "ใช่แล้ว มันเป็นผลอย่างหนึ่งของการขาดน้ำ คนส่วนใหญ่น่ะคิดว่า เมื่อเขาไม่ได้ออกกำลังกายให้เสียเหงื่อแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทานน้ำเยอะๆ ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดนะ คนที่ทำงานในตึกที่ ระบบหมุนเวียนอากาศไม่ดี หรือทำงานในบ้านเรือนที่ มีอากาศร้อนแห้งเป็นปกติ เขาจะสูญเสียน้ำออกไป โดยการระเหยทางผิวหนัง และทางการหายใจ โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว ตัวอย่างแปลกๆอีกอัน ก็เช่น การทำงานหรือเป็นนักบิน บนเครื่องบินที่อยู่บนฟ้า ก็มีโอกาศสูญเสียน้ำได้ ทุกคนที่อยู่บนเครื่องบิน ที่กำลังบินอยู่ 3 ชั่วโมง เขาจะสูญเสียน้ำในร่างกายไป 2 ปอนด์ ด้วยเหตุนี้เองที่ ผู้โดยสาร หรือนักบิน มักจะเรียกหาเครื่องดื่ม เช่นโค้ก กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แต่แทนที่มันจะดีขึ้น มันกลับทำให้คุณปวดปัสสาวะ ซึ่งเป็นการทำให้คุณสูญเสียน้ำ มากขึ้นไปอีก"

ชาร์ลีพูดต่อว่า "คนทั่วๆไป เสียน้ำไป 2 ถ้วยต่อวันผ่านการหายใจ และอีก 2 ถ้วย ด้วยการเสียเหงื่อ และอีก 6 ถ้วยจากการขับถ่าย ด้วยวิธีต่างๆของร่างกาย รวมแล้ว วันหนึ่งๆ คุณจะสูญเสียน้ำไป 10 ถ้วย ทั้งๆที่คุณยังไม่ได้ออกกำลังกายเลยด้วยซ้ำ อีกประการหนึ่ง ที่คุณควรรู้ไว้คือ นักกีฬาทั้งหลาย โดยเฉพาะนักเพาะกาย พยายามสร้างมัดกล้ามเนื้อ ด้วยการบริโภคโปรตีนมากๆ แต่ไม่สมดุลย์กับการบริโภคคาร์โบไฮเดรต ที่น้อยเกินไป มันจะส่งผลให้ร่างกาย เกิดภาวะ คีโตซิส (KETOSIS) ภาวะนี้เกิดจาก การเผาผลาญที่ไม่สมบูรณ์ของ คีโตน (KETONE) คีโตน คือสารที่ประกอบด้วย ธาตุคาร์บอนโมโนออกไซด์ และไฮโดรคาร์บอน (คำว่าโมโนออกไซด์ ในคาร์บอนโมโนออกไซด์ เป็นตัวแสดงว่า เกิดการเผาผลาญที่ไม่สมบูรณ์ - webmaster) ซึ่งคีโตนนี่เอง ที่เป็นสารพิษ ที่ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อเกิด ภาวะการขาดน้ำ อย่างฉับพลัน ประสิทธิภาพในการเก็บกักน้ำของเซลล์ จะลดลง ดังนั้นเพื่อป้องกันภาวะนี้ คุณจะต้องดื่มน้ำให้มากๆไว้ก่อน เพราะถ้าเซลล์เก็บน้ำได้น้อยลง มันก็ยังได้รับจากน้ำที่คุณดื่มไปสำรองได้ทันที"



ผมถามชาร์ลีถึงปริมาณน้ำที่เราจะดื่ม ชาร์ลีตอบว่า "เป็นที่ยอมรับแล้วว่า ทุกๆคนจะต้องดื่มน้ำอย่างน้อย วันละ 7 - 8 แก้ว แต่ไม่ควรทานพร้อมกับ การทานอาหารในแต่ละมื้อนะ และคุณควรจะดื่มน้ำมากกว่านี้ หากคุณต้องออกกำลังกายในยิม ที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ หรือว่าคุณ ต้องเล่นกล้ามในที่โล่งแจ้งด้วยเช่นกัน จริงๆแล้วเราได้รับน้ำจากแหล่งอื่นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในอาหารเกือบทุกชนิดที่เราทาน จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบเสมอ ที่เห็นชัดๆก็คือผลไม้ ซึ่งมีน้ำเป็นส่วนประกอบ 85 - 90 เปอร์เซ็นต์ และแหล่งผลิตน้ำอีกอย่างหนึ่ง ก็คือร่างกายคุณนั่นเอง น้ำที่ว่านี้ จะมาจากระบบการเผาผลาญอาหารของคุณ ซึ่งจะได้ปริมาณน้ำครึ่งถ้วยต่อวัน ถ้าจะสรุปเป็นตัวเลข ถึงแหล่งที่มาของน้ำสู่ร่างกายนั้น ก็คือ 10 เปอร์เซ็นต์ มาจากระบบเคมีในร่างกาย อีก 30 เปอร์เซ็นต์มาจากอาหารที่ทาน ดังนั้น คุณจะต้องทำหน้าที่ นำที่เหลืออีก 60 เปอร์เซ็นต์เข้าสู่ร่างกาย ด้วยการดื่มน้ำนั่นเอง" ผมถามต่อว่า "แล้วคุณมีเทคนิคการดื่มน้ำ ที่จะบอกกับนักกีฬาไหมล่ะ" ชาร์ลีตอบว่า "คนส่วนมาก จะดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหาย ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เทคนิคการดื่มน้ำสำหรับการออกกำลังกาย มีดังนี้คือ ก่อนออกกำลังกาย ประมาณครึ่งชั่วโมง ให้ดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว เพื่อให้น้ำไปหล่อเลี้ยงเซลล์จนอิ่มตัว ผมแนะนำให้ใช้น้ำเย็น เพราะร่างกายจะดูดซึมได้มากกว่าน้ำอุ่น ต่อมาเมื่อเหลือเวลาอีก 15 นาที ให้ทานอีก 1 แก้ว และในขณะที่เราเริ่มออกกำลังกายแล้ว ให้ดื่มน้ำ 1 แก้วเล็กๆ ทุกๆ 20 นาที หรือเมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ จวบจนกระทั่งออกกำลังกายเสร็จแล้ว คุณก็ควรดื่มอีก 3 แก้ว และจำไว้ว่า หากคุณชอบดื่มโค้ก กาแฟ ก่อนการบริหาร คุณจะต้องเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำมากขึ้นอีก"

วันนี้ผมได้ความรู้จากชาร์ลีมากมาย และพึ่งรู้ว่าที่ผ่านมา ตัวเองให้ความสำคัญกับน้ำน้อยเกินไป ต้องขอขอบใจชาร์ลีที่ให้ความรู้แก่พวกเรา ชาร์ลีเสริมในตอนท้ายอีกว่า "ขอให้ผม ได้พูดครอบคลุมไปถึง เรื่องวิตะมินสักเล็กน้อยเถอะ เรารู้กันว่าวิตะมินซี และวิตะมินบีต่างๆ ละลายในน้ำ และมันจะออกมาทางปัสสาวะ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผล ที่คุณจะอ้างในการทานน้ำน้อยลง หากคุณเป็นนักกีฬา หรือผู้ที่ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอแล้ว คุณจะต้องดื่มน้ำมากๆ และวิธีแก้ในเรื่องวิตะมินสองตัวนี้คือ ทานวิตะมินสองตัวนี้เสริม เพิ่มเติมจากอาหารประจำวันด้วยนะ"




นิตยสาร Life ยกย่องเขาว่าเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งแห่งสหัสวรรษ จำนวนสิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นก็น่าทึ่ง – มีถึง 1093 อย่าง เขาถือสิทธิบัตรมากกว่าใครๆ โดยได้รับอย่างน้อยทุกๆ ปีเป็นเวลา 65 ปีติดต่อกัน เขายังได้พัฒนาห้องทดลองค้นคว้าวิจัยสมัยใหม่เขาผู้นี้คือ โธมัส เอดิสัน

เมื่อพูดถึงความสามารถของเอดิสัน คนส่วนใหญ่ยกย่องความเป็นอัจฉริยะในการประดิษฐ์ของเขา แต่เขาเองยกย่องการทำงานหนัก เขากล่าวว่า “อัจฉริยะก็คือหยาดเหงื่อ 99% และแรงบันดาลใจ 1%” ผมเองเชื่อว่าความสำเร็จของเอดิสันเป็นผลมาจากปัจจัยที่ 3 ด้วย นั่นก็คือทัศนคติที่ดีของเขา

เอดิสันเป็นมองโลกแง่ดี เขามองเห็นสิ่งที่ดีที่สุดในทุกสิ่งทุกอย่าง เขากล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า “หากทำทุกสิ่งที่เราสามารถแล้วล่ะก็ เราจะต้องทึ่งในตัวเองอย่างเหลือล้น” ตอนที่เขาต้องลองถึง 1,000 ครั้งเพื่อหาวัสดุที่เหมาะสมสำหรับไส้หลอดไฟนั้น เขาไม่คิดว่าการทดลองที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นความล้มเหลว แต่เขากลับมองเห็นว่าในแต่ละครั้ง เขายิ่งเรียนรู้เพิ่มขึ้นว่า มีวัสดุใดบ้างที่ใช้การไม่ได้ และนั่นยิ่งทำให้เขาเข้าใกล้คำตอบเข้าไปทุกที เขามั่นใจโดยไม่สงสัยเลยว่า เขาจะพบคำตอบในที่สุด เราสามารถสรุปความเชื่อของเขาได้จากคำพูดของเขาเองที่ว่า “ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในชีวิตหลายต่อหลายครั้งนั้น ก็มาจากการที่คนเราไม่รู้ว่าเขายอมแพ้ไปใน ขณะที่เขาเกือบจะประสบความสำเร็จอยู่รอมมะล่อ”

ครั้งที่เอดิสันได้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดที่สุดถึงความมีทัศนคติที่ดี ก็น่าจะเป็นช่วงที่เขาต้องเผชิญภัยพิบัติตอนอายุกว่า 65 ปี ในขณะนั้นห้องทดลองที่เขาสร้างขึ้นในเมืองเวสท์ออเรนจ์ รัฐนิวเจอร์ซี่ กำลังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เขาเรียกอาคารชุดทั้ง 14 หลังว่าเป็นโรงงานสิ่งประดิษฐ์ของเขา อาคารหลักมีความใหญ่โตมโหฬาร – ขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอลอเมริกันถึง 3 สนามรวมกันจากฐานปฏิบัติการ ณ อาคารหลังนี้ เขาและทีมงานได้จินตนาการสิ่งประดิษฐ์, พัฒนาตัวอย่าง, ผลิตผลงาน, และบริการจัดส่งให้ลูกค้านับเป็นต้นแบบแห่งการค้นคว้าวิจัยและขบวนการผลิตสมัยใหม่

เอดิสันรักอาคารหลังนี้มาก เขาใช้เวลาทุกนาทีที่นั่นเท่าที่จะทำได้ เขาถึงกับนอนที่นั่น บ่อยครั้งที่นอนกับโต๊ะปฎิบัติการทดลอง แต่แล้ววันหนึ่งในเดือนธันวาคม ปี 1914 ได้เกิดเพลิงไหม้ห้องทดลองอันเป็นที่รักเขา ขณะยืนดูอยู่ข้างนอกและมองตึกถูกเพลิงเผาผลาญอยู่นั้น มีคนได้ยินเขาบอกว่า “ลูกๆ ไปตามแม่มาดูซิ แม่คงไม่มีโอกาสเห็นไฟไหม้อย่างนี้อีก”

ถ้าเป็นคนอื่นก็คงรู้สึกหมดหวังไปแล้ว แต่เอดิสันไม่เป็นเช่นนั้น “ผมอายุ 67 ปี” เขากล่าวหลังอัคคีภัย “แต่ยังไม่แก่เกินกว่าที่จะเริ่มต้นใหม่ ผมเคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายอย่างนี้มามากต่อมากแล้ว” เขาสร้างห้องทดลองขึ้นมาใหม่และทำงานต่ออีกถึง 17 ปี “ผมยังมีไอเดียอีกมากมาย แต่มีเวลาซิมีน้อย” เขากล่าว “ผมคิดว่าผมน่าจะมีอายุแค่ 100ปีโดยประมาณเท่านั้น” เขาเสียชีวิตตอนอายุ 84 ปี

หากเอดิสันไม่ได้มีการมองโลกในแง่ดี เขาคงไม่ประสบความสำเร็จในฐานะสุดยอดนักประดิษฐ์ ถ้าคุณดูชีวิตคนในอาชีพใดๆ ก็ตามที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คุณจะพบว่าแทบทุกคนมองชีวิตในแง่ดีอยู่เสมอ
การมีทัศนคติที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล ทัศนคติที่ดีไม่เพียงช่วยให้คุณมองชีวิตในแง่ดีเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อการคบค้าสมาคมกับคนอื่นอีกด้วย

ที่มา: หนังสือ 21 คุณสมบัติหลักแห่งการเป็นผู้นำ โดย John C. Maxwell





ข่าวไม่ค่อยดีนักสำหรับผู้ ที่กำลังรอคอย iPad 2 อยู่ เมื่อเว็บไซต์ 9to5mac.com ไปทำการค้นลึกลงไปใน SDK ตัวล่าสุดของ iOS 4.3 และได้พบรายละเอียดบางอย่างที่บ่งบอกว่า iPad 2 อาจมีกล้องด้านหลังความละเอียดแค่ 1M Pixels เท่านั้น

ข้อมูลดังกล่าวพบได้โดยการค้นลงไปใน Source Code ของอุปกรณ์ที่มีรหัสว่า K94 ซึ่งแหล่งข่าวบอกว่ามันเป็นรหัสของ iPad 2 โดยจากภาพเราก็จะเห็นตัวหนังสืออธิบายถึงกล้องด้านหลังที่มีความละเอียดกำ กับใว้แค่ 1M Pixels เท่านั้น โดยหากเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นหมายความว่า iPad 2 จะมีกล้องด้านหลังคุณภาพค่อนข้างแย่มากสำหรับการถ่ายภาพนิ่งเหมือนกับ iPod touch แต่ด้านการถ่ายวิดีโอนั้นก็คงสามารถถ่ายแบบความละเอียด 720p ได้อย่างไม่มีปัญหา

ดูเหมือนว่า Apple จะตั้งใจที่จะแยก iPad 2 ออกจากความเป็นกล้องถ่ายรูปอย่างชัดเจน เพราะโดยวัตถุประสงค์แล้ว iPad ไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้อยู่แล้ว เลยใส่กล้องมาให้แบบว่าเพื่อให้มีกล้องก็พอ ไม่ได้เน้นความละเอียดในการถ่ายภาพเท่าไหร่ โดยหลักๆ น่าจะไปเน้นการใช้งาน FaceTime แล้วสลับไปกล้องหลังมากกว่า ซึ่งการทำแบบนี้ก็เป็นไปได้ว่า Apple ต้องการลดความสำคัญของกล้องบน iPad 2 ลงบ้าง เนื่องจากตอนนี้มีการเพ่งเล็งด้านกล้องกันมากเกินไป และอาจจะไปเน้นตรงส่วนอื่นแทน

อีกหนึ่งเหตุผลที่น่าจะมี เอี่ยวด้วยก็คือตัวกล้องติดโทรศัพท์ระดับ 5M Pixels ที่คุณภาพสูงๆ หน่อยมักจะมีความหนาพอสมควร และนั่นอาจจะหนาเกินไปสำหรับ iPad 2 ที่ตั้งใจจะขายความบางเบา (เหมือน iPod touch) จึงทำให้มีการตัดสินใจใช้กล้องแค่ 1M Pixels นั่นเอง

ที่มา : thaimacupdate






เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ที่เราควรรู้ก่อนจะไปถอยเครื่องเกมพกพาโมเดลใหม่ นินเทนโด 3DS เพื่อมาเล่นเกมด้วยภาพมีมิติแบบไม่ต้องสวมแว่นตาในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ราคา 25,000 เยน หรือประมาณ 9,200บาท เชื่อว่าบางประเด็นคุณก็อาจจะเคยทราบหรือไม่ทราบมาก่อนก็ย่อม ได้

1.ขนาดของตลับเกม 3DS กับตลับ DS รุ่นก่อนจะมีรูปทรงและความบางต่างกัน

2.คุณสามารถใช้อะแด็ปเตอร์ตัวชาร์จแบตเตอรีของ DSi และ DSi LL มาเติมพลังให้กับเครื่อง 3DS ได้ด้วย

3.นอกจากเครื่องเกมใหม่จะรองรับการแสดงภาพ 3D แล้ว เจ้า 3DS ยังถูกออกแบบมาเพื่อการแสดงภาพที่ดีขึ้นด้วย ลองดูภาพเปรียบเทียบระหว่างน้องหมาของเกมนินเทนด็อกส์ภาคเก่ากับภาคใหม่ได้ จอบนของ 3DS จะแสดงภาพที่ความละเอียด 800x240 พิกเซล(จอนี้จะแสดงภาพ 3D ให้เราเห็น โดยแยก 800พิกเซลในแนวนอนอย่างละครึ่งสำหรับตาขวาและซ้าย) ส่วนภาพของ DSi จอล่างจะแสดงภาพที่ 256x192 พิกเซล

4.ซอฟต์แวร์เกมเก่าๆของ DS สามารถนำมาเล่นได้ตามปกติบน 3DS แต่จะไม่สามารถแปรเปลี่ยนตัวเองให้แสดงภาพ 3D ได้ อีกทั้งก็ยังไม่สามารถอัปเกรดภาพให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อีก ด้วย

5.เจ้าของเครื่องสามารถได้รับตัวละครอวาตาร์ Mii ผ่านฟีเจอร์ “Street Pass”ที่นินเทนโดทำมาเพื่อ 3DS (คุณจะได้รับสิ่งต่างๆแลกเปลี่ยนกันเมื่อเดินสวนกัน แต่เครื่องต้องอยู่ในโหมดSleep หรือเวลาที่เราพับฝาเครื่องโดยไม่ปิดเครื่อง ) และยังมีภาพตัวละคร Mii ปรากฏอยู่ใน Sleep Mode Mii Plaza ด้วย

6.เกมต่างๆสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ ขณะที่เครื่องทำงานใน Sleep Mode แม้ว่าเราจะไม่ได้โหลดเกมขึ้นมาเล่นก็ตาม ระบบจะตรวจสอบเกมที่คุณเคยเล่นมาก่อนให้ โดยสามารถส่งข้อมูลระหว่างกันได้ถึง 12 เกมพร้อมๆกัน ทั้งนี้ Street Pass จะทำงานเฉพาะเกมของ 3DSเท่านั้น แลัเจ้าของเครื่องก็สามารถกำหนดการตั้งค่าต่างๆของ Street Pass ได้จากParental controls

7.เมนู Home ของเครื่อง เอาไว้ให้เรากดหยุดเกมชั่วคราว เพื่อเข้าไปทำดำเนินกิจกรรมอื่นๆอย่างอินเทอร์เน็ต,เขียนบันทึก และอื่นๆก่อนจะกลับเข้าไปเล่นเกมอีกครั้ง แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่สามารถใช้งานได้ อาทิ การเล่นเกมโดยใช้ไวเลสหรือใช้กล้องอยู่

ที่มา : Manager





ก่อนหน้านี้ใครที่ตามหาชม Trailer ของเกม Final Fantasy XIII-2 อาจจะต้องพยายามอาวิธีต่างๆนาๆ เพราะต้องแอบกันดู แต่ว่าตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เนื่องจากทาง Square Enix ได้เปิดตัวเว็บไซต์หลักอย่างเป็นทางการของ Final Fantasy XIII-2 เรียบร้อยแล้ว โดยจะในเว็บไซต์ถึงจะไม่มีอะไรมาก แต่แค่ Trailer อย่างเดียวก็เรียกยอดคนดูได้เยอะพอดูแล้วหละ

ซึ่งตัวคลิปในช่วงแรกจะเป็นการนำฉากจบของ Final Fantasy XIII มาใส่ใน Trailer จากนั้นได้ตัดมาที่ฉาก Lightning กำลังนั่งคุกเข่า แล้วก็เดินไปที่ระเบียงทางเดิน หลังจากนั้นก็ได้ชักดาบคู่ใจของเธอออกมา ในขณะที่ มีชายหนุ่มปริศนา ลึกลับโผล่มาด้านหลัง แล้วทั่งคู่กันปะทะกัน จากนั้นก็จบ Trailer กันไป

สามารถชม Trailer ได้ที่นี่



Credit: Square Enix
ที่มา : compgamer.com















เป็นเรื่องราวของพระเอกที่นิสัยแสนดีนามซึดะ ที่เขาเข้าเทอมใหม่ในโรงเรียนเอกชนโอซาอิ(ในซับดันเป็นโอโซ) โรงเรียนมัธยมที่อดีตเคยเป็นโรงเรียนสตรีล้วน แต่พึ่งเปิดเป็นโรงเรียนสหในรุ่นของเขา ทำให้สัดส่วนของนักเรียนนี้ส่วนมากมีแต่นักเรียนที่เป็นผู้หญิง (นักเรียนชายมี 28 คน ส่วนนักเรียนหญิงมี 524 คน!!) และเมื่อเขาเข้าเรียนในโรงเรียนในวันแรกเขาก็ได้พบประธานสาวสวยมาดมั่นนามชิโนะ ตักเตือนซึดะที่แต่งกายไม่เรียบร้อย หลังจากพูดคุยกับซึดะสัก พัก เธอเลยชักชวนเขามาเป็นรองประธานนักเรียนและตัวแทนของฝ่ายชาย และเมื่อซึดะเข้าเป็นสมาชิกสภานักเรียนเขาก็สงสัยว่าทำไมคนรอบข้างของเขาถึง ชอบเล่นมุกสัปดนกันเนี้ย!!

อ่านต่อ : writer.dek-d.com



เรียกว่าฮาเร็มดีไหมอะฮากว่าลัคกี้สตาร์อีกแต่ละมุขสะสุดยอด !






Square Enix ประกาศการเปลี่ยนชื่อเกมจากเกม Final Fantasy Agito XIII มาเป็น Final Fantasy Type 0 หลังมีข่าวการจดทะเบียนการค้าตัวใหม่เมื่อต้นเดือนมกราคม 2011 เตรียมวางจำหน่ายฤดูร้อนปี 2011 และเปิดตัวเทลเลอร์เกมวันที่ 27 มกราคมนี้

เกม Final Fantasy Agito XIII เปิดตัวครั้งแรกเมื่องาน E3 2006 พร้อมกับเกมตระกูล Final Fantasy ตัวใหม่ๆที่วางจำหน่ายเกมบนมือถือ เกมนี้เป็นเกมแนว RPG มีระบบการต่อสู้อันคล้ายคลึงกับเกม Crisis Core: Final Fantasy VII แต่เกมนี้สามารถควบคุมการต่อสู้ได้หลายตัวละคร และวางจำหน่ายเกมบนเครื่อง PSP บรรจุแผ่น UMD จำนวน 2 แผ่น

นอกจากนี้ เกม Final Fantasy Type 0 จะเปิดตัวเทลเลอร์เกมอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 มกราคมนี้

ที่มา : gamemun.com





กลายเป็นโทรศัพท์ที่ตกเป็น talk of the town มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ iPhone จากแอปเปิ้ลที่เพิ่งจะมีกระแสว่าผู้ใช้ iPhone 4 ต้องออกมาโวยทั้งเรื่องสัญญาณและเรื่องนาฬิกาปลุกช้ากว่าเวลากันไปหมาด ๆ ล่าสุด iPhone ก็กลับมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง เมื่อมีการเปิดตัว iPhone 5 ออกมาให้ยลโฉมกัน และดูท่าว่าจะเป็นเวอร์ชั่นแก้ตัว ที่ทำออกมาชนิดที่เรียกว่าเต็มประสิทธิภาพเลยทีเดียว

สำหรับจุดที่น่าสนใจของ iPhone 5 ที่ได้รับการพัฒนาให้พิเศษกว่า iPhone รุ่นอื่น คือจะเน้นในระบบซิมการ์ดที่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายใด ๆ ก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแอปเปิ้ลได้จับมือกับบริษัทซิมการ์ด Gemalto เพื่อออกซิมการ์ดชนิดพิเศษ ที่สามารถให้ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ต ตั้งค่าเครือข่ายโทรศัพท์ได้ทุกเครือข่ายตามที่ผู้ใช้ต้องการ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ยังไม่มีบริษัทผลิตโทรศัพท์ที่ไหนเคยทำมาก่อน

และนอกจากเรื่องของซิมการ์ดเลือก เครือข่ายใดตามใจผู้ใช้แล้ว แอปเปิ้ลก็ยังมีข่าวที่ทำให้แฟน ๆ iPhone ตกตะลึงกันอีกครั้ง เมื่อมีข่าวออกมาว่าแอปเปิ้ลจะเพิ่มเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในระยะสั้น หรือ NFC (Near Field Communication) เข้าไปด้วย ทำให้ผู้ใช้สามารถเก็บข้อมูลและโอนถ่ายข้อมูลของเครื่อง Mac ไว้ในเครื่อง iPhone 5 ได้ด้วย ประหนึ่งกับว่า iPhone 5 เป็นเครื่อง Mac ที่ผู้ใช้พกพาไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลานั่นเอง

งานนี้รับรองว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า iPhone 4 เป็นไหน ๆส่วนใครที่กำลังวางแผนจะซื้อ iPhone 4 เร็ว ๆ นี้ อดใจรอกันหน่อยก็ดี เพราะ iPhone 5 สุดเจ๋งตัวนี้มีแพลนจะวางจำหน่ายภายในกลางปีหน้านี้แน่นอนจ้า

ขอบคุณ กระปุก






ในที่สุด Nintendo ก็ได้ประกาศเปิดตัวเครื่องเล่นเกมส์พกพา Nintendo 3DS อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวานนี้ พร้อมทั้งเปิดเผยถึงกำหนดการวางตลาดเป็นวันที่ 27 มีนาคมปีนี้ (จองได้ที่ Amazon.com) สนนราคาอยู่ที่ 249.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 7,600 บาท



Nintendo 3DS เป็นเครื่องเล่นเกมส์พกพาที่สามารถแสดงผลด้วยลูกเล่น 3D โดยใช้เทคโนโลยี Autosteroscopy ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเล่นเกมส์ 3D ได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตา แถมภายในเครื่องยังมี Motion Sensor (Accelerometer และ Gyroscope) ที่ใช้ควบคุมเกมส์ผ่านเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวของ เครื่่องเล่นฯได้อีกด้วย ทั้งนี้ทางบริษัทได้เปิดเผยถึงผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นเกมส์ Nintendo 3DS ไปแล้วเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2010 และนำออกมาโชว์ให้ได้เห็นหน้าค่าตาของมันเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ในงาน E3 2010 อย่างไรก็ดี Nintendo 3DS สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์เกมส์ที่เล่นบนเครื่องเล่นรุ่นก่อนหน้านี้ อย่าง Nintendo DS และ Nintendo DSi



รายงานล่าสุดยังมีการเปิดเผยออกมาอีกด้วยว่า Nintendo ได้พัฒนาเกมส์สำหรับ Nintendo 3DS โดยเฉพาะไว้มากถึง 30 เกมส์แล้ว อย่างเช่น Nintendogs & Cats, Steel Driver, Pilotwings Resort และ Super Street Fighter IV 3D นอกจากนี้ยังมีเกมส์ยอดฮิตที่ถูกนำมาเป็น 3DS อย่างเช่น Paper Mario, Mario Kart ส่วน The Legend of Zelda: Ocarina of Time ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ตามรายงานข่าว Nintendo 3DS จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศญ๊่ปุ่นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ และในสหรัฐ 27 มีนาคม ศกนี้



ข้อมูลจาก: nintendo

ข่าวไอที ทิป-เทคนิค คอมพิวเตอร์




หลังจากมีรายงานข่าวว่า สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายถล่มทลายทะลุ 1.5 ล้านเครื่องไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ล่าสุดมีรายงานข่าวที่คงจะสร้างกระแสให้กับซีรียส์ Galaxy S ได้อีกครั้ง เมื่อมีภาพหลุดของ S5830 สมาร์ทโฟนในซีรียส์เดียวกันที่มีดีไซน์น่าใช้กว่ารุ่นพี่ ในขณะที่สเป็กอยู่ระหว่าง Galaxy S กับ iPhone 4 (ด้านข้างของตัวเครื่องยังมีแถบโลหะที่ดูคล้ายเสาอากาศของ iPhone 4 อีกต่างหาก)



ภาพหลุด พร้อมรายละเอียดของสเป็ก Samsung Galaxy S5830 สมาร์ทโฟนหัวใจ Android รุ่นใหม่อาจจะทำให้ใครหลายๆ คนที่กำลังต้องการ Galaxy S แต่ติดอยู่ที่ดีไซน์บางอย่างที่อาจจะไม่ตรงใจ เชื่อว่า S5830 น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของคุณ ซึ่งสำหรับ S5830 จะมีขนาดของตัวเครื่องเล็กกว่ารุ่นแรก โดยมีหน้าจอขนาดประมาณ 3.5 นิ้ว ความละเอียด 320x480 พิกเซล (คาดว่าน่าจะยังเป็น Super AMOLED) ส่วนชื่อเรียกอาจจะเป็น Samsung Galaxy S Mini



Samsung S5830 จะทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 2.2 Froyo (อัพเกรดเป็น Android 2.3 Gingerbread ได้) สนับสนุนการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi และ Bluetooth 3.0 พร้อมด้วยพอร์ต microUSB กล้อง 5 ล้านพิกเซล แฟลช LED และช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ MicroSD ส่วนโพรเซสเซอร์จะเป็น Qualcomm MSM 7227 ที่มีราคาถูกกว่า ส่วนดีไซน์ปุ่ม Home บนตัวเครื่องจะเรียบง่ายกว่า Galaxy S ทั้งนี้ Samsung Galaxy S Mini น่าจะเปิดตัวในงาน Mibile World Congress 2011 ที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 14 - 17 กุมภาพันธ์ ณ.กรุงบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน นอกจากนี้ในงานเดียวกันทาง Samsung จะเปิดตัว Galaxy S2 อีกด้วย

ข้อมูลจาก: ubergizmo

ข่าวไอที ทิป-เทคนิค คอมพิวเตอร์




Categories