บทความเด่น: ยิ่งกว่าหยาดเหงื่อและแรงบันดาลใจ
นิตยสาร Life ยกย่องเขาว่าเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งแห่งสหัสวรรษ จำนวนสิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นก็น่าทึ่ง – มีถึง 1093 อย่าง เขาถือสิทธิบัตรมากกว่าใครๆ โดยได้รับอย่างน้อยทุกๆ ปีเป็นเวลา 65 ปีติดต่อกัน เขายังได้พัฒนาห้องทดลองค้นคว้าวิจัยสมัยใหม่เขาผู้นี้คือ โธมัส เอดิสัน เมื่อพูดถึงความสามารถของเอดิสัน คนส่วนใหญ่ยกย่องความเป็นอัจฉริยะในการประดิษฐ์ของเขา แต่เขาเองยกย่องการทำงานหนัก เขากล่าวว่า “อัจฉริยะก็คือหยาดเหงื่อ 99% และแรงบันดาลใจ 1%” ผมเองเชื่อว่าความสำเร็จของเอดิสันเป็นผลมาจากปัจจัยที่ 3 ด้วย นั่นก็คือทัศนคติที่ดีของเขา อ่านต่อ...
บทความที่น่าสนใจ The 3rd Birthday ล่าสุดสดๆร้อนๆ / ไทยจ่อเลิกใช้“แบล็คเบอร์รี่” / Code Geass R2 รางวัล การ์ตูนญี่ปุ่น Anime ยอดเยี่ยมปี 2009 / พลิกปูมงบ ส.ส.ในอดีต / ความลับของ Internet / Amazing in Thailand / สุดเซอร์ไพรส์ 6 เรื่องแปลก ผ่าน Facebook ที่คุณต้องอ่าน... / Nielsen รายงาน Android แซง iPhone ได้เป็นครั้งแรก
ได้เจอแอพพลิเคชั่นดีๆ ของคนไทยที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับสุขภาพของตัวเอง หากใครเจ็บป่วยโดยไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ก็สามารถดูอาการ และ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ก่อน แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า "DoctorMe" ครับ

DoctorMe นั้นเป็นแอพพลิเคชั่นที่ถูกพัฒนาโดยร่วมมือกันระหว่าง สถาบัน ChangeFusion สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิหมอชาวบ้าน และ บริษัท โอเพ่นดรีม จำกัด


DoctorMe เป็นแอพพลิเคชั่นคู่มือการดูแลตัวเองเบื้องต้น เมื่อเกิดอาการต่างๆ เราสามารถเลือกหารายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับอาการของเรา และ ดูวิธีการปฐมพยาบาล รวมทั้งโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการนั้นๆ ซึ่งนับได้ว่าเป็นแอพพลิเคชั่นด้านสุขภาพ iOS ตัวแรกของไทยอีกด้วยครับ

และตอนนี้ได้ขึ้น อันดับ1 ของ Top Free ของ App storeแล้วครับ (วันที่ 22 สิงหาคม 2554)


ส่วนของรายละเอียดในแอพพลิเคชั่น DoctorMe นั้นจะแสดงในหมวดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

- อาการ เป็นการบอกถึงอาการต่างๆ ของเราที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหาโรคที่จะเกิดขึ้นและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- การค้นหา ส่วนของ อาการ ชื่อโรค และชื่อยา
- รายการลัด เป็นการจดจำหน้านั้นๆ ไว้เพื่อความสะดวก โดยกดบันทึกไปยังรายการลัดได้
- ปฐมพยาบาล เป็นการบอกวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และ มีรูปภาพประกอบเพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
- ส่วนของคำแนะนำ

เมื่อเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นหน้าแรกจะแสดงส่วนต่างๆ ของร่างกายให้เราได้เลือกว่า เราป่วยตรงไหน


ผมจะลองเล่นดูนะครับ ถ้าเกิดอาการปวดศีรษะ่บ่อยๆ ปวดข้างเดียวเป็นเวลานานๆ ก็เลือกไปที่ "ศีรษะ"ครับ และเลือกอาการของเราที่เกิดขึ้น ผมจึงเลือกไปที่ "ปวดศีรษะ (ปวดหัว)"


เมื่อเลือกอาการของเราแล้ว จะเข้าสู่ของรายละเอียดของอาการที่เกิดขึ้น และ วิธีการรักษาเบื้องต้น


และส่วนของ แท็บเมนูด้านขวา โรคที่เกี่ยวข้องก็จะแสดงโรคที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรามีอาการที่เราได้เลือกก่อนหน้านั้น และรายชื่อโรคก็มีแสดงโรคไมเกรนด้วย เลือกดูที่ ไมเกรนจะแสดงอาการ สาเหตุ การรักษา การดูแลตัวเอง เป็นข้อมูลที่ครบถ้วนมากๆ ครับ และยังสามารถส่งอีเมลไปให้เพื่อนที่เป็นโรคแบบเราได้อีกด้วย


ส่วนของการค้นหา เราก็สามารถ พิมพ์ค้นหาสิ่งที่เราต้องการได้ไม่ว่าจะเป็นชื่อโรค,อาการ,และยา และยังมีลิสต์ชื่อโรคแสดงให้อีกด้วย


ส่วนของเมนูการปฐมพยาบาล เบื้องต้นที่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อทุกเวลา หากเรานั้นไม่รู้ว่าจะปฐมพยาบาลอย่างไร หรือทำให้ถูกต้องถูกวิธี ก็มีรายละเอียดบอกไว้ครบถ้วน


ส่วนสุดท้ายเป็นส่วนเมนูเพิ่มเติม จะเป็นรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับ DoctorMe และการส่งอีเมลแนะนำติชมได้


อุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อทุกเวลานะครับ หากเรามีการสังเกตุอาการของเรา หรืออยากจะทำการรักษาเบื้องต้นนั้น ลองใช้งานของแอพพลิเคชั่น DoctorMe ดู อาจจะช่วยลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาล หากเรามีการดูแลอาการเหล่านั้นได้เบื้องต้น ขอปรบมือให้กับแอพพลิเคชั่นดีๆ แถมปล่อยให้ดาวน์โหลดฟรี!! อีกด้วย
สุดท้ายเราเองก็ต้องดูแลสุขภาพกันมากๆ นะครับ ยิ่งตอนนี้อากาศในบ้านเรานั้นก็เปลี่ยนแปลงบ่อย

สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น DoctorMe ได้ ที่นี่

ที่มา : Thaiware.com




ผมขอถามว่า อะไรคือความแตกต่างกันระหว่างผีดิบในหนัง กับพนักงานบริษัท ดูไม่น่าเกี่ยวข้องกันใช่ไหม แต่นี่แหละคือเรื่องจริง พนักงานบริษัทส่วนมากเดินทางมาทำงานแบบซังกะตาย พอทำงานชิ้นหนึ่งเสร็จ ก็เดินลากขาเหมือนซอมบี้ในหนัง ไปทำงานอีกชิ้นหนึ่ง ทำงานแบบสักแต่ว่ายกให้หมดวันก็พอ แล้วพอหมดเวลางานในวันนั้น ก็เดินแบบซอมบี้ออกประตูบริษัทไป

บางคน เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำงาน ก็คิดถึงแต่ภารกิจ หรือความเมื่อยล้าจากสิ่งอื่นๆ หาเหตุลาป่วยเอาดื้อๆ ไม่ว่าคุณจะจัดอยู่ในพวกไหน คุณกำลังขาดแหล่งพลังผลักดันที่สำคัญอย่างหนึ่งในตัวไป เราเรียกพลังนั้นว่า "ความมีวินัยในตนเอง" อย่าพึ่งโกรธ หรือตีความเอาว่าผม (ผู้เขียน) มีอคติต่อคุณนะครับ ลองฟังผมพูดเสียก่อน

ลองจินตนาการตามผมดูนะครับ สมมติว่าคุณกำลังบริหารวิ่งออกกำลังกายที่สวนลุม จนใกล้จะครบจำนวนครั้งที่กำหนดไว้ ซึ่งคุณรู้ว่าเมื่อทำจนครบแล้ว คุณต้องหมดแรงพอดิบพอดี แต่ทันใดนั้น ก็มีชายชรามหาเศรษฐีคนหนึ่ง เอาเงินมามอบให้คุณ 1 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่า ขอให้คุณวิ่งออกกำลังกายต่อไปอีก 3 รอบ แน่นอนว่าถึงตอนนี้ ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยเท่าไร คุณก็วิ่งต่อได้อีก 3 รอบอย่างไม่ต้องสงสัย

เอาละ คราวนี้มาดูว่าถ้าไม่มีเงิน 1 ล้านนี้มาให้คุณ คุณจะวิ่ง 3 รอบที่ว่านี้เพิ่มเติมหรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ละก็ ตอนนี้แหละ คุณกำลังขาดแคลนวินัยในชีวิตอยู่ครับ เพราะคุณยังเอาชนะจิตใจตัวเองโดยไม่มีสิ่งเร้าจากภายนอกไม่ได้ ผมยืนยันในทฤษฎีนี้ได้เลยว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณเป็นเจ้านายของจิตใจคุณการดำเนินชีวิตคุณ จะเต็มไปด้วยความเข้มข้นอย่างไม่ต้องสงสัย

มารู้จักกับคำว่าวินัยในตัวเองกันดีกว่า

สมมติให้ "วินัยในตัวเอง" เป็นผู้ชายหนึ่งและเป็นเพื่อนคุณ คุณพาเพื่อนคุณคนนี้ไปแนะนำกับทุกๆคนในงานเลี้ยง ไม่บอกก็รู้ว่า ทันทีที่ถูกแนะนำตัว ทุกคนจะพากันเกลียดเขาทันที "วินัย" จะวิ่งไปมาอย่างรวดเร็วในงาน คำพูดที่จะได้ยินจากเขาคือ "เอาบุหรี่นั่นออกจากปากคุณเถอะ แล้วก็เลิกสูบบุหรี่เสียที ไม่อยากอยู่กับลูกเมียนานๆหรือ" "เหล้านั่นเป็นสิ่งไม่ดี เลิกดื่มเสียเถอะ" "อย่ามัวกินอาหารขยะ (Junk food) อยู่เลย ไม่มีประโยชน์ อ้อ.. แล้วก็เลิกมองแฟนสาวของเพื่อนคุณด้วย" แน่นอนว่าทุกๆคนแทบรอไม่ไหว ที่จะพร้อมใจกันโยนเขาออกนอกงาน เหตุผลน่ะหรือ ง่ายมากครับ

"วินัยในตัวเอง" มีชื่อเสียงตกอับมานาน ตัวมันถูกปฏิเสธมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ หลายพันปีโน่นแล้ว เป็นแฟชั่นมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วว่า ต้องทำตามความชอบก่อน ส่วนผลของมันเป็นอย่างไร เอาไว้ว่ากันทีหลัง มันไม่แปลกหรอกที่คุณก็เป็นคนหนึ่ง ที่จมอยู่กับความคิดตามแฟชั่นแบบนี้ กินมากกว่าที่ร่างกายต้องการ ,นอนจนเกินความจำเป็น ,ดีแต่พูด แต่ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พูดเสียที นี่แหละ นิสัยเหล่านี้แหละ ที่เป็นแฟชั่นอันโด่งดังอย่างแท้จริง

อีกด้านหนึ่งนั้น "วินัยในตัวเอง" ไม่ใช่ธรรมชาติที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้มากับกรรมพันธ์ แต่ได้มาด้วยการสร้างขึ้นเองต่างหาก รากศัพท์ของคำว่า Discipline (วินัย) คือ สิ่งใดก็ตามที่ติดยึดอยู่กับหลักการ เมื่อรวมกับคำว่า Self รวมกันก็คือ การติดยึดเกี่ยวกับหลักการของคุณเอง คนทั่วไปส่วนมากมีชีวิตอยู่โดยไม่มีหลักการเลย

เริ่มต้นอย่างไร - มันเป็นเสียงที่อยู่ในใจคุณ

ทุกๆคนสามารถได้ยินเสียงจากจิตใจคุณ เราต่างต้องพึ่งพามัน จิตใจจะพูดกับเราตลอดเวลา ให้เราทำอย่างนั้น ให้เราทำอย่างนี้ สิ่งใดก็ตามที่จิตใจพูดกับเรา มันจะขึ้นอยู่กับของสามสิ่ง สัญชาติญาณ มันคือผลึกความคิดของคุณ ที่ตกตะกอนมาจากสิ่งที่พ่อคุณสอนคุณในสมัยเด็ก และเมื่อคุณโตขึ้นมาอีก มันก็คือผลึกความคิดที่มาจากสิ่งที่คุณได้พบเห็นด้วยตัวเอง

ถ้าคุณมีภูมิหลังอันเลวร้าย และยังคงมีมันอยู่ ก็เป็นไปได้ว่าจิตใจคุณก็จะบอกคุณให้ทำแต่เรื่องทางลบ ในทางกลับกัน ถ้าชีวิตที่ผ่านมาของคุณ เจอแต่เรื่องดีๆ ได้รับการสั่งสอนในทางที่ดี ก็มีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่คุณจะมีความคิดในทางบวก และเจ้าความคิดทางบวกนี่เองที่มีส่วนในการสร้าง "วินัยในตัวเอง" ให้คุณ

เพื่อให้ได้มาซึ่งวินัยในตัวเองนั้น ก่อนอื่นคุณต้องยอมรับตัวคุณเองก่อน ว่าคุณเป็นคนแบบไหน ลองดูสิว่าคุณเป็นคนประเภทไหน

ก.) "ผมไม่แน่ใจว่าผมจะทำอันนั้นได้ครับ" "ผมอยากเกิดมามีอย่างผู้ชายคนนั้นจริงๆ" "กว่าผมจะได้มีโอกาสดีๆ ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว" "คงไม่มีอะไรเสียหายหรอกน่า ถ้าวันนี้ฉันจะไม่ ... สักวัน" "ฉันหวังว่าที่ฉัน ... ไปวันนี้ มันคงจะได้ผลนะ"

ข.) "ผมมั่นใจเลยว่ามันต้องได้ผล" "นับวัน ผมยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายเข้าไปทุกที" "ผมมั่นใจว่าระบบนี้ต้องได้ผลเต็มที่" "ผู้รู้สึกว่าทำสำเร็จมากขึ้น" "ผมรู้ว่าอีกไม่นาน ผมจะทำได้มากกว่าวันนี้เยอะเลย"

เอาละ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภท ก.ไก่ หรือ ข.ไข่ ก็จงยอมรับตัวเองก่อน จากนั้นก็ถึงเวลาที่คุณควรรู้ไว้ตั้งแต่วันนี้เลยว่า คุณสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นได้ ผมพูดได้เพราะมีคำยืนยันจากนักวิจัยว่า คุณสามารถเลือก จะให้จิตใจคุณพูดกับคุณว่าอย่างไร และเมื่อมันพูดแล้ว คุณก็มีหน้าที่ทำตามมันเท่านั้น ลองเลือกสิ่งเหล่านี้เอาไว้สั่งจิตใจคุณดูสิครับ

1.การวางแผนว่าต้องการจะให้คนอื่นเห็นคุณเป็นอย่างไร ไม่ใช่ใส่ใจว่าตอนนี้คุณเป็นอย่างไร

2.จงทำสิ่งต่างๆตรงนี้ และเดี๋ยวนี้ เพื่อสิ่งดีๆในอนาคต คุณจะต้องลืมสิ่งที่ผ่านมาในอดีตเสีย พยายามให้จิตใจคุณเตือนคุณให้บ่อยที่สุดว่า อดีตก็คือขยะของปัจจุบันเท่านั้น มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

3.ให้เสียงในใจของคุณ บอกจุดประสงค์แบบเน้นไปเลยว่า ต้องการอะไร อย่างเช่น ไม่ควรจะคิดว่าต้องการให้น้ำหนักลด แต่ที่ถูกแล้ว จะต้องบอกว่า ต้องการน้ำหนักลด 10 กก.ภายในสามเดือน หรือต้องการเพิ่มน้ำหนักให้ได้อีก 15 กก. ยิ่งคุณบอกได้ละเอียดเท่าใด จิตใต้สำนึกของคุณ ก็จะทำงานให้คุณดีขึ้นเท่านั้น

4.เวลากรอกความคิดเข้าไปในจิตใจ คุณควรใส่อารมณ์เข้าไปด้วย เพราะถ้าพูดทื่อๆตรงๆ มันไม่น่าเร้าใจเอาเลย อย่างเช่นแทนที่จะพูดว่า "ฉันจะทำให้หน้าท้องเห็นเส้นเลือด" คุณควรจะพูดว่า "จะรู้สึกดีขนาดไหนนะ ถ้าฉันเล่นกล้ามท้องจนไขมันหายไปหมด จนเห็นเส้นเลือดเกาะอยู่ที่หน้าท้องเลย"

5.ร่วมมือกับเสียงภายในใจของคุณ โดยหลับตานึกถึงภาพตอนที่คุณ ทำสถิติเรื่องใดสักเรื่อง จนไม่มีใครสู้ได้ ทั้งหมดนี้ ทำก็เพื่อให้จิตใจคุณเห็นว่า ควรจะนำตัวคุณไปในทิศทางใด

6.หลีกเลี่ยงคนที่มีความคิดเป็นลบ คนพวกนี้ชวนคุณให้คิดแง่ลบตามเขา แม้ว่าคุณอาจไม่เชื่อเขาในตอนแรก แต่พอฟังพวกนี้พูดบ่อยๆ มันจะค่อยๆซึมซาบเหมือนยาพิษ เข้าไปในตัวคุณ มันจะทำลายความมีวินัยในตัวคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ ทำลายความสำเร็จของคุณครับ

ทำให้ความมีวินัยในตัวเอง ของคุณ ขยายออกไป

เมื่อคุณมีแนวคิดที่เป็นบวก ความมีวินัยในตัวเองของคุณจะเติบโตขึ้น คุณจงทำให้มันเติบโตอยู่อย่างนั้น และนี่คือกลยุทธ์ที่คุณควรนำไปปฏิบัติ

1.สร้างเป้าหมายในชีวิตเสมอ - คิดว่าคุณคงเคยเห็นอดีตนักกีฬาชื่อดังหลายคน เมื่อเลิกราวงการไปแล้ว ปล่อยตัวให้อ้วนดูน่าเกลียด นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาจะบริหารร่างกายไปอีกทำไม ในเมื่อเขาไม่ได้แข่งขันอะไรแล้ว ซึ่งในความเป็นจริง ชีวิตคนเรามีเป้าหมายที่น่าทำตั้งมากมาย แต่เขาเหล่านั้นไม่ยอมกำหนดให้ตัวเองต่างหาก คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตก็คือคนที่ไม่มีหลักการ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงคำสบประมาทนี้ คุณจะต้องสร้างเป้าหมายใหม่ๆเสมอ

เริ่มถามตัวคุณเองว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการทำต่อไป ลองสนใจเรื่องใหม่ๆของคุณ ตั้งเป้าให้มันเลยว่า จะให้มันจะสำเร็จอย่างไร เมื่อคุณมีเป้าหมายใหม่ๆ คุณก็จะมีหนทางใหม่ๆให้ทำ มีความกระตือรือร้นเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่จะเพิ่มแรงผลักดันที่ดีในจิตใจคุณ มันทำให้คุณมีวินัยในตัวเองเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นวัตถุดิบพาไปสู่เป้าหมาย

2.ทำบ่อยๆ - ลองคิดถึงการหัดขับรถของคุณดู สมัยแรกๆคุณตัวแข็งทื่อ จะเลี้ยว จะถอยหลัง ล้วนดูแล้วยากทั้งสิ้น แต่เมื่อคุณขับบ่อยเข้า คุณก็สามารถทำทุกอย่างได้โดยอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่บอกคุณว่า เมื่อจะทำอะไรลำบาก คุณควรจะทำมันทีละน้อยๆ บ่อยครั้งเข้า ในที่สุดคุณก็จะสามารถทำได้ การสร้างวินัยในตัวคุณเองก็เช่นกัน ควรค่อยๆสั่งสมไปทีละน้อย

อย่าคิดว่าการสั่งสมทีละน้อยๆนี้จะไม่มีค่า เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คุณก็จะมาถึงสุดขอบที่ผู้ชนะทั้งหลายเขามาถึงกัน การกัดไม่ปล่อยแบบนี้ ส่งผลให้คุณเห็น แรกๆคุณแทบตาย แต่เมื่อค่อยๆหัดไป ในที่สุดคุณก็จะทำได้เป็นนิสัย

ผมเคยใช้เทคนิคนี้ เพื่อเอาชนะผู้แข่งขัน ผมคิดว่าการจะชนะคนบางคน ที่มีพรสวรรค์ในร่างกายดีกว่าผม ผมจะต้องมีวินัยในตัวเองที่เยี่ยมยอด นั่นหมายความว่า ผมจะต้องมีความพยายามมากกว่าคนอื่นนั่นเอง

ข้อควรจำคือ "การมีวินัยในตัวเอง" เป็นเรื่องของการควบคุมจิตใจ ใครก็ตามที่ควบคุมใจตัวเองไม่ได้ เขาผู้นั้นก็ควบคุมการกระทำของตัวเองไม่ได้ และคนที่ควบคุมการกระทำไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะสร้างความสำเร็จให้ตัวเองได้สักเรื่อง คุณจะต้องเลือกเป้าหมายของคุณ สร้างเสียงในจิตใจคุณขึ้นมา และอะไรที่อาจมีอิทธิพลทำให้จิตใจคุณเบื่อหน่ายวินัยในตัวเองได้แล้วละก็ จงอยู่ห่างๆไว้ดีที่สุด

คำพูดสุดท้ายของบทความนี้คือ ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่ได้อ่านบทความนี้จบ คุณสมควรที่จะยกระดับความมีวินัยในตัวเองของคุณให้สูงขึ้น แล้วมันจะให้ผล อย่างที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับ รอช้าทำไมเล่าครับ

ที่มา : www.tuvayanon.net





อาจเป็นเพราะภาพของการทำงานทางด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพราะทุกวันนี้ คนที่ทำงานทางด้าน human resource - HR ไม่เพียงเป็น "คู่คิด" และ "คู่คุย" กับผู้บริหารรดับสูง หากจะต้องพัฒนาขีดความสามารถของตัวเองหลายอย่างด้วย

ที่สำคัญ ขณะนี้ในหลายหน่วยงานของแต่ละองค์กร พยายามเพิ่มหน่วยงานใหม่ หรือแตกแขนงจากฝ่าย HR ไปเป็นฝ่ายต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทางด้านพัฒนาคน (human resources development) หน่วยงานพัฒนาองค์กร (organizational development) และหน่วยงานฝึกอบรม (training division)

ที่ปัจจุบัน อาจเปลี่ยนเป็นหน่วยงานแห่งการเรียนรู้ (learning division) เหตุนี้เอง จึงทำให้บุคลากรทางด้าน HR มีความต้องการในตลาดค่อนข้างมาก แถมค่าตัวยังสูงด้วย แต่กระนั้น คนที่ทำหน้าที่ HR management และ HR development ก็จะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ด้วย

และจะต้องทำงานเป็นหุ้นส่วนในเชิงกลยุทธ์ได้ (strategic partner) ที่สำคัญ จะต้องประเมิน และพัฒนาผลการทำงานของตนเอง เพื่อให้สามารถตามกระแสธุรกิจของโลกด้วย

คำถามจึงเกิดขึ้นตามมาว่า และคุณลักษณะของ HR ที่ดี จะต้องมีอะไรบ้าง ?

ซึ่งเรื่องนี้ เมื่อไปถาม "อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา" ผู้บริหาร และที่ปรึกษา บริษัท สลิงก์ชอท จำกัด เขาจึงอธิบายให้ฟังว่า...คือผมมีโอกาสอ่านงานวิจัยฉบับหนึ่ง จากการความร่วมมือในการวิจัยจากหลายๆ องค์กร และมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน และองค์กรอื่นๆ ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก พบว่าทักษะของนักบริหารทรัพยากรบุคคลมืออาชีพ (HR) กำลังเป็นที่ต้องการของหลายๆ องค์กรในการที่จะสร้างความแตกต่างให้กับตัวองค์กรเอง
"ซึ่งสามารถพูดได้ว่าผลลัพธ์ทางธุรกิจที่องค์กรได้นั้น 20% มาจากทักษะของบุคลากร และการศึกษาเกี่ยวกับคุณลักษณะของ HR ครั้งล่าสุดในปี 2550 นี้พบว่า ผู้เชี่ยวชาญในด้าน HR ควรจะต้องมี 6 คุณลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้คือ"

หนึ่ง credible activist (นักกิจกรรมที่น่าเชื่อถือ) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องมีความน่าเชื่อถือ และมีความคล่องแคล่วในการทำงาน นั้นหมายถึง เขาต้องได้รับความเชื่อมั่น ความเคารพ ความนิยม การรับฟัง และเหนือสิ่งอื่นใดคือมีความคิดเห็น และจุดยืนที่มีเหตุผลของตนเองอย่างชัดเจน
ซึ่งจากการวิจัยพบว่า มีแค่ 20% ของผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR เท่านั้น ที่มีคุณลักษณะในเรื่องของการเป็นนักกิจกรรมที่น่าเชื่อถือในระดับที่ยอดเยี่ยม ในขณะที่ 60% สามารถพัฒนาได้โดยการฝึกอบรม และสร้างความเข้าใจกับคุณลักษณะดังกล่าว แต่อีก 20% ที่เหลือ ไม่สามารถพัฒนาได้ เนื่องจากเขาไม่มีทักษะ และบุคลิกลักษณะที่จำเป็นสำหรับการพัฒนา

สอง culture and change steward (ผู้พิทักษ์ด้านวัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลง) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ต้องมองออก และสามารถช่วยในการวางแบบแผนในการสร้างวัฒนธรรมขององค์กรได้

ซึ่งวัฒนธรรมคือการกระทำที่ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ทำเพียงครั้งเดียว ยกตัวอย่างเช่น องค์กรแห่งหนึ่งมีการจัดงาน หรือกิจกรรมเพื่อการตลาดอยู่เป็นประจำ พนักงานทุกคนในองค์กรจะมาช่วยกันในงานกิจกรรมทุกครั้ง โดยไม่ได้มองว่าเป็นหน้าที่ หรือไม่เป็นหน้าที่ และนี่คือวัฒนธรรมอย่างหนึ่งขององค์กรที่เรียกว่า การทำงานเป็นทีม หรือ teamwork

สำหรับผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR การเป็นผู้พิทักษ์ด้านวัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงเริ่มจากการเข้าใจในความต้องการของลูกค้าภายนอกอย่างถ่องแท้ก่อน แล้วนำความเข้าใจเหล่านี้มาแปรเปลี่ยนให้เป็นพฤติกรรมของพนักงาน และองค์กร จนก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องสามารถช่วยให้วัฒนธรรมเกิดขึ้นได้จริงๆ และพัฒนาจนกระทั่งเป็นวินัยไปทั่วทั้งองค์กร การวางแผน และลงมือทำตามกลยุทธ์ หรือโครงการที่วางไว้ในการพัฒนาวัฒนธรรมขององค์กร จะทำให้สิ่งที่รู้กันอยู่แล้วภายในองค์กรเป็นสิ่งที่ทำกันจริงๆ

สาม talent manager/organization designer (นักบริหารคน-นักออกแบบองค์กร) หมายความว่าในการบริหารคน (talent management) และการออกแบบองค์กร (organization design) ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะเก่งเพียงด้านทฤษฎีอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่จะต้องเก่งเรื่องของการวิจัย วิเคราะห์ และลงมือปฎิบัติด้วย

ในเรื่องการบริหารคน หรือ talent management เน้นที่การบริหารคนตั้งแต่การก้าวเข้ามาในองค์กร การขึ้นตำแหน่ง การวางเส้นทางในสายอาชีพ การย้ายแผนก หรือแม้แต่การออกจากองค์กรของบุคคลเหล่านั้น

ส่วนการออกแบบองค์กร หรือ organization design จะเน้นในเรื่องของการออกแบบระบบ โครงสร้าง กระบวนการ และนโยบายขององค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถทำงาน และแข่งขันในตลาดได้ดีที่สุด

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องเก่งในทั้ง 2 เรื่องนี้ เพราะผู้ที่เก่งในเรื่องการบริหารคนอย่างเดียว จะไม่สามารถรักษาคนเหล่านี้เอาไว้ ถ้านโยบาย ระบบ หรือแม้แต่โครงสร้างขององค์กรไม่อำนวยในการเก็บรักษาเขาเหล่านี้ไว้ ในขณะที่ผู้ที่เก่งในเรื่องการออกแบบองค์กร แต่ไม่เก่งเรื่องการบริหารคน ก็จะไม่สามารถรักษาคนดี คนเก่งไว้ได้ ซึ่งนั่นหมายถึงองค์กรจะไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างเต็มที่

สี่ strategy architect (นักวางกลยุทธ์) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และต้องมองให้ออกถึงความสำเร็จขององค์กรในอนาคตว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้เพื่อที่จะสามารถแสดงบทบาทสำคัญในการที่จะช่วยองค์กรไปให้ถึงเป้าหมายได้

ซึ่งทักษะนี้คือการเข้าใจ และมองเห็นถึงแนวโน้มของธุรกิจ และผลกระทบต่างๆ ที่พึงมีต่อองค์กร เพราะผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องสามารถคาดคะเนได้ว่าอะไรเป็นอุปสรรคสำหรับองค์กรในอนาคต และเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับอุปสรรคต่างๆ เหล่านั้น

ตัวอย่างของการมองออกไปในอนาคต คือการที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR จะต้องมองออกว่าองค์กรมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้น สืบเนื่องมาจากการขยายตัวของธุรกิจในภาครวม และแน่นอนเขาต้องมองให้ออกว่าอะไรจะเป็นอุปสรรคในการเติบโตนี้

ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของกำลังการผลิต ดังนั้น สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR สามารถทำได้คือการเตรียมตัวให้พร้อมกับการเพิ่มกำลังการผลิต นั้นอาจหมายถึง จำนวนพนักงานในสายการผลิตที่จะต้องมีมากขึ้น

ที่สำคัญ การเตรียมพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้องค์กรไม่ติดขัดกับการขาดบางสิ่งบางอย่างในการทำงาน ผลที่ได้คือการองค์กรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นด้วย

ห้า operational executor (นักดูแลการปฏิบัติการ) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ไม่ใช่แค่มองภาพกว้าง และวางแผนอย่างเดียว แต่จะต้องดูแลในส่วนของการปฎิบัติงานทั้งในแง่ของคน และองค์กรด้วย ตัวอย่างของการดูแลในแง่ขององค์กร คือ การมีส่วนร่วมในการช่วยร่าง ดัดแปลง และการลงมือปฏิบัติตามนโยบาย

ในส่วนของการดูแลการปฏิบัติงานของคน เช่น การดูแลเรื่องการรับพนักงานใหม่ ค่าจ้าง สวัสดิการ และการพัฒนาบุคคล เพื่อบุคลากรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หก business ally (พันธมิตรทางธุรกิจ) หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR สามารถเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จขององค์กรได้โดยการเรียนรู้ถึงแนวทางการดำเนินงานขององค์กร รู้ว่าองค์กรได้เงินจากอะไร ใครคือลูกค้า และทำไมพวกเขาจึงซื้อสินค้าหรือบริการจากเรา

นอกจากนี้ยังจะต้องรู้ถึงระบบการทำงานในเบื้องต้นของแผนก หน่วนงานต่างๆ ภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเงิน การบัญชี ฝ่ายการตลาด ฝ่ายวิจัย หรือแม้แต่ฝ่ายวิศวกรรม ทั้งนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนการทำงานของพวกเขาได้อย่างไร

ถึงตอนนี้ หลายคนคงพอมองออกแล้วว่าคุณลักษณะของ HR ในศตวรรษที่ 21 มีอะไรบ้าง ที่สำคัญ 4 ใน 6 คุณลักษณะดังกล่าวมีผลอย่างมากต่อความสำเร็จในการเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ถึง 75%

ซึ่ง 4 คุณลักษณะที่ว่าคือ การเป็นนักกิจกรรมที่น่าเชื่อถือ, การเป็นผู้พิทักษ์ด้านวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลง, การเป็นนักบริหารคน-นักออกแบบองค์กร และการเป็นนักวางกลยุทธ์

ที่ปัจจุบัน ผู้บริหารระดับสูงในหลายๆ องค์กร เริ่มจะมองหาผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาคนดีคนเก่ง กล้าเปลี่ยนแปลง และพัฒนาวัฒนธรรมขององค์กร ที่สามารถมองเข้าไปในตลาดใหม่ๆ เพื่อธุรกิจในอนาคตขององค์กร

ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน HR ที่ดี จึงต้องนำความคิดเห็นของลูกค้าภายนอกมาเป็นแนวทางในการวางนโยบายและกลยุทธ์ของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ขณะเดียวกัน ก็จะต้องพยายามเชื่อมโยง เพื่อให้ไปสู่แนวทางการปฏิบัติงานของพนักงาน และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

ซึ่งนั่นไม่เพียงจะเป็นคุณลักษณะของ HR ที่ดี หากยังเป็นคุณลักษณะของ HR ในปี 2011 ด้วย
แล้วองค์กรของคุณล่ะมี HR แบบนี้บ้างหรือเปล่า ?

ที่มา : toodcheefha.exteen.com





ปัญหาและจุดอ่อนของการกำหนดกลยุทธขององค์กรคือ ไม่สามารถทำให้เป็นไปได้ในภาคปฎิบัติ และถึงแม้ว่าจะได้มีการวางแผนกำหนดกลยุทธอย่างเป็นระบบแล้วก็ตาม ในทางปฎิบัติอาจจะพบว่าในหลายๆ ครั้งกลยุทธเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมาจากการกระทำกิจกรรมของสมาชิกในองค์กร ซึ่งเป็นผลการศึกษาวิจัยที่ เจมส์ ไบรอัน ควินส์ ได้มาจากการศึกษานักกลยุทธในองค์กรบรรษัทข้ามชาติจำนวน 9 องค์กร และพบว่า กลยุทธที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะของการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Logical Incrementalism)

ในลักษณะนี้กลยุทธเกิดจาก ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรกำหนดเป้าหมายและนโยบายอย่างกว้างๆ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ระดับล่างได้เสนอความคิดเห็น กำหนดการกระทำ ชี้แนวทางที่ค่อยๆ หล่อหลอมรวมกันจากระดับล่างสุดขององค์กรสู่ระดับสูงขึ้นจนถึงสุดยอดของการบริหารในองค์กรในที่สุด ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า กระบวนการทำงานของฝ่ายต่างๆ ในองค์กรที่มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวยนี้จะมีผลต่อการกำหนดกลยุทธขององค์กรในที่สุด

แนวความคิดการก่อตัวขึ้นของกลยุทธที่เริ่มจากระดับล่างขึ้นไปสู่ระดับนี้จึงมีความแตกต่างอย่างสำคัญจากการกำหนดกลยุทธโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญมีความเป็นไปได้ว่า โครงสร้างและกระบวนการภายในจะเป็นตัวกำหนดกลยุทธมากกว่าการที่กลยุทธเป็นตัวตั้งและกำหนดการบริหารจัดการภายใน

ที่มา: หนังสือองค์การ ทฤษฎี โครงสร้างและการออกแบบ โดยอัมพรธำรงลักษณ์




Categories