บทความเด่น: ยิ่งกว่าหยาดเหงื่อและแรงบันดาลใจ
นิตยสาร Life ยกย่องเขาว่าเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งแห่งสหัสวรรษ จำนวนสิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นก็น่าทึ่ง – มีถึง 1093 อย่าง เขาถือสิทธิบัตรมากกว่าใครๆ โดยได้รับอย่างน้อยทุกๆ ปีเป็นเวลา 65 ปีติดต่อกัน เขายังได้พัฒนาห้องทดลองค้นคว้าวิจัยสมัยใหม่เขาผู้นี้คือ โธมัส เอดิสัน เมื่อพูดถึงความสามารถของเอดิสัน คนส่วนใหญ่ยกย่องความเป็นอัจฉริยะในการประดิษฐ์ของเขา แต่เขาเองยกย่องการทำงานหนัก เขากล่าวว่า “อัจฉริยะก็คือหยาดเหงื่อ 99% และแรงบันดาลใจ 1%” ผมเองเชื่อว่าความสำเร็จของเอดิสันเป็นผลมาจากปัจจัยที่ 3 ด้วย นั่นก็คือทัศนคติที่ดีของเขา อ่านต่อ...
บทความที่น่าสนใจ The 3rd Birthday ล่าสุดสดๆร้อนๆ / ไทยจ่อเลิกใช้“แบล็คเบอร์รี่” / Code Geass R2 รางวัล การ์ตูนญี่ปุ่น Anime ยอดเยี่ยมปี 2009 / พลิกปูมงบ ส.ส.ในอดีต / ความลับของ Internet / Amazing in Thailand / สุดเซอร์ไพรส์ 6 เรื่องแปลก ผ่าน Facebook ที่คุณต้องอ่าน... / Nielsen รายงาน Android แซง iPhone ได้เป็นครั้งแรก
ถาม ซิทอัพวันละหลายครั้ง พุงไม่ลด กล้ามท้องก็ไม่ขึ้นเสียที เป็นเพราะอะไร

ตอบ การซิทอัพ คือการทำให้หน้าท้องแข็งแรงเท่านั้นครับ ไม่ได้ทำให้พุงลด หรือผอมลง หรือเกิดกล้ามท้องเป็นลอนได้หรอกครับ ผมขออธิบายเรื่องกล้ามท้องก่อนสักนิดนะครับ ความคิดที่ว่าบริหารแต่กล้ามท้องมากๆ แล้วพุงจะลดจนมีหน้าท้องเป็นลอนนั้น เป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลยครับ เหตุผลก็คือ ในร่างกายเราทุกคน จะมีชั้นไขมันคลุมเป็นแผ่นบางๆ (เขาเรียกว่า Layer) ไว้ทั่วร่าง ใครก็ตามที่ทำให้แผ่น Layer นี้บางลงได้ คนนั้นก็จะมีกล้ามเนื้อชัดทั้งตัวครับ รวมไปถึงหน้าท้องด้วย

เมื่อดูภาพทั้งสองแล้ว ก็จะเห็นว่าขนาดร่างกายของทั้งสองภาพแทบไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็นแขน เอว ฯลฯ แต่เมื่อรีดเอาชั้นไขมัน (Layer) ออกจากภาพทางด้านซ้ายแล้ว ก็จะเห็นว่าภาพทางขวา เห็นกล้ามท้องชัดขึ้น และกล้ามส่วนอื่นๆก็ชัดตามไปด้วย ไม่ใช่ชัดแค่กล้ามท้องอย่างเดียว

ในทางกลับกัน ถ้าคุณบริหารแต่หน้าท้อง โดยหวังที่จะให้ Layer ตรงหน้าท้องหายไปที่เดียว เพื่อจะได้กล้ามท้องชัดๆนั้น ไม่มีทางทำได้ครับ แล้ววิธีแก้คืออะไร วิธีแก้ก็คือต้องออกกำลังกาย ให้ร่างกายไปนำเอา Layer เหล่านี้มาแปลงเป็นพลังงาน การทำเช่นนี้จะทำให้ Layer บางลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้พลังงานมากแค่ไหนนั่นเอง และวิธีดีที่สุดคือการเพาะกายครับ คุณเพาะกายครึ่งชั่วโมง โดยยกน้ำหนักมากๆ ยังมีค่ามากกว่าไปวิ่งตั้งสามชั่วโมง เพราะการวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบ arobic คือใช้ออกซิเจนมาสร้างพลังงาน แต่การยกน้ำหนักจะใช้พลังงานในร่างกาย (ที่มาจาก Layer) เป็นวัตถุดิบครับ เรียกว่า nonarobic จึงทำให้คุณสลาย Layer ได้ดีกว่า

เมื่อเรามีอายุมากขึ้น อัตราการเผาผลาญอาหาร (Metabolism) ก็จะช้าลงครับ สมมติว่าในวัยที่คุณอยู่วัยรุ่น คุณทานข้าวหนึ่งจาน ร่างกายก็เผาผลาญเป็นพลังงานไปหมด โดยไม่เหลือเก็บไว้ จึงทำให้คุณในวัยนั้นไม่มีไขมันจับตามหน้าท้องหรือต้นขา หรือใต้คางครับ คราวนี้เมื่อคุณอายุมากขึ้น คุณทานข้าวจานเดียวกันนั้น ในปริมาณเท่ากัน แต่เนื่องจากร่างกายมีอัตราการเผาผลาญอาหารที่ต่ำลงกว่าแต่ก่อน จึงทำให้ยังไม่ทันที่จะเผาผลาญอาหารพวกนั้น เป็นพลังงานได้หมด มันก็หนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ใต้ผิวหนังคุณซะแล้ว (ไปซ่อนเป็น Layer ไงครับ) ก็คือไขมัน หรือความหนาที่หน้าท้องคุณยังไงเล่าครับ

ดังนั้นวิธีแก้มีสองวิธีคือ 1.เอา Layer ที่มีอยู่แล้วออก และข้อ 2.กำจัดสิ่งที่จะไปเป็น Layer ใหม่ซะ และสองวิธีนี้ วิธีการมีอยู่ข้อเดียวครับ คือการออกกำลังกาย โดยข้อ 1.ที่ว่าให้เอา Layer ที่มีอยู่แล้วออกนั้น ผมก็ได้อธิบายไปแล้วข้างต้นนะครับ ส่วนข้อ 2. ที่ว่ากำจัดสิ่งที่จะไปเป็น Layer ก็คือการทำให้อัตราการเผาผลาญอาหารสูงขึ้นนั่นเองครับ และวิธีที่จะทำให้มันสูงขึ้นก็คือการเพาะกายครับผม

ย้อนกลับมาเรื่องการซิทอัพสักเล็กน้อยนะครับ ว่าทำไมมันก็เป็นการเล่นกล้ามอย่างหนึ่ง แต่ทำไมละลาย Layer ไม่ได้ ความจริงมันละลายได้ส่วนหนึ่งนะครับ แต่ถ้าคุณซิทอัพอย่างเดียว มันใช้พลังงานน้อยมากครับ อย่างมากก็ไม่เกิน 50 แครอลี แต่อาหารที่เราทานเข้าไปทุกวันน่ะ จะอยู่ที่ 2,000 แครอลี่ คิดดูแล้วกันว่าคุณใช้พลังงานไปแค่นิดเดียว ดังนั้นที่เหลือมันก็กลายเป็นไขมันน่ะสิครับ นี่แหละคือคำตอบที่ว่าคุณควรจะเพาะกายเต็มรูปแบบ เพื่อให้มันเอาไขมันพวกนั้น มาสลายตัวเป็นพลังงาน แล้วใช้ให้หมดไปครับ

ส่วนถ้าสงสัยว่า แล้วการวิ่งจะลดหน้าท้องได้หรือไม่ ก็ได้ว่า ได้ครับ แต่สู้การเพาะกายไม่ได้ เพราะมีงานวิจัยออกมาแล้วว่า จริงอยู่ที่ขณะเราที่เราวิ่งออกกำลังกาย ใช้เวลาเท่าๆกับการเพาะกายนั้น การวิ่งจะเอาไขมันมาสลายเป็นพลังงานได้มากกว่า แต่ว่าทันทีที่เราพัก คือหมายถึงเลิกออกกำลังกายในแต่ละวันแล้ว การเพาะกายจะทำให้ขบวนการเผาผลาญไขมันนั้น ดำเนินไปตลอดเวลา ส่วนผู้ที่เป็นนักวิ่ง ขบวนการมันหยุดตั้งแต่หยุดวิ่งแล้ว แล้วคิดดูว่า วันหนึ่งมี 24 ชม. แต่สำหรับการวิ่ง มันจะเผาผลาญไขมันแค่ช่วงเวลาวิ่ง ก็ประมาณ ไม่ถึงชั่วโมง เทียบกับการเพาะกายแล้ว มันเผาผลาญตลอดทั้งวันเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานยืนยัน โดยคุณอ่านได้ในเรื่อง ไม่ต้องวิ่ง



เพื่อนผม น้ำหนักตัว 80 กิโลกรัม อยากได้กล้ามท้องมาก เลยเน้นแต่เล่นกล้ามท้องอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วก็วิ่งวันละหลายชั่วโมงจนแทบเป็นลม กล้ามท้องก็ไม่ขึ้นสักที พลอยจะทำให้เบื่อการออกกำลังกายเอาเสียง่ายๆ เพราะไม่เห็นผลเสียที แต่ถ้าคุณเปลี่ยนจากการวิ่งนั้น มาเป็นการเพาะกายเพียวๆ ผลของมันจะแตกต่างออกไป น้ำหนักตัวคุณแค่ 80 กิโลกรัมเท่านั้น ลองมาดูนักเพาะกายที่หนัก 116 กิโลกรัม แต่ไม่เล่นกล้ามท้องเลย แม้กระทั่งเหลืออีก 1 เดือนก่อนการประกวด เขาก็ยังไม่เล่นกล้ามท้องอยู่ดี คนนั้นก็คือ เด็กเธอร์ แจ็คสัน ที่อยู่ในภาพข้างล่างนี้ครับ



เด็กเธอร์ แจ็คสัน อายุ 40 ปี สูง 167.5 ซม. หนัก 116 กิโลกรัม
"ไม่เล่นกล้ามท้อง"

อยู่ๆ ผมคงไม่อุปโลกน์ขึ้นมาเองหรอกครับว่าคุณเด็กเธอร์ แจ็คสัน ไม่เล่นกล้ามท้อง เพราะผมติดตามเขามานานแล้ว เอกสารหลักฐานก็มีชัดเจน ทั้งคำพูดต่างๆที่ไม่ได้มีการ เซ็ทคำพูดไว้ก่อน ก็บอกไว้ชัดเจนเช่นกัน (ขออธิบายตรงนี้นิดนึงนะครับ "คำพูดที่เซ็ทไว้ก่อน" หมายความว่า เนื่องจากนักเพาะกาย บางคนก็ชอบกินแฮมเบอร์เกอร์ ,พิซซ่า ซึ่งถือเป็นของต้องห้าม (มากๆ) สำหรับช่วงเตรียมตัวก่อนการประกวด แต่ด้วยความที่มีคนติดตามผลงานพวกเขาเยอะ เวลาที่เราอ่านนิตยสาร เขาก็จะมีคำพูดที่เซ็ทไว้ก่อนการสัมภาษณ์ ซึ่งมักจะพูดถึงการทานที่เข้มงวด ไม่กินอาหารขยะ (ก็คือแฮมเบอร์เกอร์ และพิซซ่า) เพื่อจะได้เป็นแบบตัวอย่างที่ดีของคนอ่านโดยทั่วไปนั่นเอง)

มาดูเรื่องตารางฝึกของเขากันก่อนครับ มาจากนิตยสารเฟล็ก ฉบับเดือน กันยายน 2552 ซึ่งเหลือเพียง 1 เดือนก็จะต้องขึ้นประกวดมิสเตอร์โอลิมเปียแล้ว (ประกวดเดือนตุลาคม 2552)


นิตยสารเฟล็ก ฉบับเดือนกันยายน 2552
ที่หน้า 191 ครับ(ดูภาพจากหน้าที่ว่านี้ ข้างล่างครับ)


ตารางฝึกของเด็กเธอร์ แจ็คสัน "ไม่มีการฝึกกล้ามท้อง"

นิตยสารเฟล็ก ฉบับเดือนสิงหาคม 2552
ที่หน้า 190 ครับ
(ดูภาพจากหน้าที่ว่านี้ ข้างล่างครับ)


(ศรชี้) Never!

เพื่อป้องกันข้อครหา ที่จะหาว่าผมแอบตัดบางคำเอามาให้อ่าน เพื่อหวังผลจะให้คุณเชื่อ ผมจึงท้าพิสูจน์โดย ประการแรก ผมบอกเลยว่าภาพข้างบนนี้มาจาก นิตยสารเล่มไหน หน้าไหน ให้คนที่ไม่เชื่อผม ไปเปิดอ่านได้เลย ประการที่สอง ผมแสกนคำพูดมาให้ดู "ทั้งพวง" ตามภาพข้างบน แทนที่จะแสกนเอามาเฉพาะส่วนที่ต้องการให้อ่านอย่างเดียว

คือว่าบทความที่ผมเอามาให้อ่านนี้ เกี่ยวกับวาระพิเศษ ที่ให้คนสนใจส่งคูปองไปชิงโชค แล้วทางนิตยสารเพาะกาย ก็จะจับฉลาก ใครโชคดี ก็จะมีนักเพาะกายซูเปอร์สตาร์ก็จะไปหาคนนั้นที่บ้าน แล้วชวนไปกินข้าว โดยบทสนทนานี้คือคำพูดระหว่างคุณวิคเตอร์ (ผู้โชคดี) กับคุณแจ็คสัน (นักเพาะกายนั่นเอง) ที่พากันออกมาทานข้าว ,ซื้อของ เสร็จแล้วก็พากันมาออกกำลัง แล้วผมก็ตัดส่วนที่เป็นบทสนทนาตอนที่ในโรงยิมมาให้อ่านนี้

หลังจากบริหารท่า Flat bench dumbbell flyes อันเป็นท่าจบสำหรับการบริหารหน้าอกแล้ว วิคเตอร์ก็ถามแจ็คสันว่า เราจะบริหารอะไรต่อล่ะ ,แจ็คสัน งง (ทำนองว่าทำไมจะต้องบริหารต่อหรือ?) ,ตอนนี้ คิดว่าวิคเตอร์ กำลังรอให้แจ็คสันคิดได้ว่าน่าจะต้องบริหารกล้ามท้องต่อ เพราะคนทั่วไปก็มักจะบริหารกล้ามท้องเป็นท่าสุดท้ายก่อนจบการบริหารในแต่ละวัน ,แจ็คสัน คงจะพึ่งคิดออก เลยบอกออกมาชัดเจนเลยว่า "ผมไม่เล่นกล้ามท้อง" ,วิคเตอร์งง จนต้องถามซ้ำว่า ไม่เคยเล่นกล้ามท้องเลยเหรอ? ,แจ็คสัน ย้ำอีกที "ไม่เคย"

วิเคราะห์
  1. แจ็คสันบอกว่า don't do abs ก็คือไม่เล่นกล้ามท้องเลย ไม่ได้บอกว่า ไม่เล่นกล้ามท้องหลังการเล่นกล้ามหน้าอก ,หรือว่าไม่เล่นกล้ามท้องในช่วงเวลานี้ นะครับ
  2. คำว่า Never ของแจ็คสันนั้น ไม่ได้หมายความว่าตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเล่นกล้ามท้องนะครับ แต่เขาต้องการย้ำให้นายวิคเตอร์รู้ว่า เขาไม่เล่นกล้ามท้อง เท่านั้นเอง คือหมายความว่าเขาอาจจะเล่นเมื่อปีที่แล้ว หรือหลายปีก่อนหน้านั้น แต่ ณ.ช่วงเวลานี้ (ก่อนการประกวด) เขาไม่เล่นกล้ามท้อง และก็ไม่มีในตารางฝึกของเขาเลย
  3. ยิ่งกล้ามคอ ,กล้ามแขนท่อนปลาย ไม่ต้องพูดถึงเลย เท่าที่ผมติดตามอ่านมา มีนักกล้ามโดยทั่วไปไม่ถึง 5% เลยที่จะเล่นกล้ามสองส่วนนี้ (คอ กับแขนท่อนปลาย)

ไม่ว่ารูปแบบ "ความเชื่อ" เกี่ยวกับกล้ามท้องก่อนหน้านี้ของคุณจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผมแสดงให้คุณเห็นเกี่ยวกับนักเพาะกายผู้นี้ (เด็กเธอร์ แจ็คสัน) เป็น "ข้อเท็จจริง" ก็ลองชั่งน้ำหนักดูระหว่าง แค่ความเชื่อ กับ ข้อเท็จจริง ก็คงจะรู้นะครับว่าอันไหนน่าสนับสนุนมากกว่า ก็ต้องเป็นตัว "ข้อเท็จจริง" อยู่แล้ว

สรุป เพื่อนสมาชิก น้ำหนักตัว 80 กิโลกรัม คิดเอาเองว่า หนทางสู่การมีกล้ามท้องมีหนทางเดียว คือต้อง "เล่นกล้ามท้อง" เท่านั้น ถามว่า ที่คุณเล่นกล้ามท้องวันละเป็นพันครั้ง เล่นติดต่อกันมาเป็นปีๆ สามารถสู้กล้ามท้องของคนที่ หนัก 116 กิโลกรัม "แต่ไม่เล่นกล้ามท้องเลย" เลยได้ไหม ต้องกลับไปคิดใหม่นะครับว่า การเล่นกล้ามท้องไม่ได้ทำให้เกิด Six Pack อย่างที่เข้าใจกัน

ทิ้งท้าย แล้วอะไรล่ะที่ทำให้กล้ามท้องแจ็คสันคมอย่างนี้ คำตอบก็คือการ ลด Layer ของชั้นผิวหนังเท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับการบริหารกล้ามท้องเลยครับ ส่วนรายละเอียดของการที่แจ็คสันมีกล้ามท้องที่คมกริบตามที่เห็นในรูปนั้น มีอะไรบ้าง ตรงนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคส่วนตัวของแจ็คสันไป (ซึ่งหลักใหญ่ๆก็หนีไม่พ้นการเพิ่มปริมาณมัดกล้าม เพื่อไปช่วยสลายไขมัน ,การเพิ่มการทำคาร์ดิโอเข้าไปในช่วงก่อนการประกวด ฯลฯ) แต่ในส่วนของหน้านี้ ผมเอาเรื่องของแจ็คสัน มาชี้ให้เห็นว่า Six Pack ไม่ได้เกิดจากการเล่นกล้ามหน้าท้อง อย่างที่พวกเราๆ ท่านๆ เข้าใจกัน การที่คุณขยันเล่นกล้ามท้องวันละเป็นพันครั้งนั้น ก็ชี้ให้เห็นว่าคุณขยันและเอาใจใส่ดีอยู่หรอก แต่ถ้าคุณจับหลักถูก ไม่หลงคิดว่าต้องเล่นกล้ามท้องแบบเอาเป็นเอาตาย จึงจะได้ Six Pack ก็คงจะทำให้คุณหาหนทางอื่น ที่ประหยัดเวลา และพละกำลังที่ใช้บริหารไปได้มากทีเดียว จะได้เหลือเวลาไปทำอย่างอื่นบ้างน่ะครับ

ที่มา www.tuvayanon.net




เป็นเรื่องที่แปลกใจไม่น้อย เมื่อรู้ว่า "รองเท้าส้นสูง" ที่ผู้หญิงใส่อยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะช่วยเสริมความมั่นใจ แถมใส่กับชุดอะไรก็ดูสวยนั้น จะมีผลกระทบต่อ "อารมณ์" ของผู้หญิง

ยิ่งใส่ส้นสูงมากเท่าไร ยิ่งทำให้อารมณ์ผู้หญิง "แปรปรวน" มากยิ่งขึ้น เป็นการยืนยันจาก นายวัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา และที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

นายวัลลภบอกว่า ฝ่าเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญ ที่มีเส้นใยประสาทต่างๆ รวมอยู่ ทั้ง สมอง ตับ ไต ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ซึ่งเท้าเป็นศูนย์รวมปลายประสาทเหล่านี้ เวลาผู้หญิงสวมรองเท้าส้นสูง ปลายเท้าไม่สามารถสัมผัสพื้นได้หมด เหมือนไม่ได้บริหารอวัยวะได้ครบถ้วน จึงส่งผลให้สุขภาพไม่ดี

นำไปสู่อารมณ์แปรปรวน ซึ่งส่วนใหญ่เวลาเดินจะมีเพียงส้นเท้า หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้าสัมผัสกับพื้นเท่านั้น จึงทำให้เส้นใยประสาทที่อยู่ฝ่าเท้านั้นทำงานไม่เต็มที่ และยังทำให้อารมณ์เสีย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และขี้หงุดหงิด

"อย่างนิ้วหัวแม่โป้งกับนิ้วชี้ นิ้วกลางของฝ่าเท้า หากส่วนนี้สัมผัสพื้นบ่อยๆ โดยฝ่าเท้าอื่นๆ ไม่ได้เดินลงพื้นเต็มๆ จะส่งผลถึงเรื่องตา หู จมูก จะทำให้ผู้หญิงรับรู้ไวขึ้น เช่น เมื่อเสียงดัง จะตกใจ และกลายเป็นคนขี้ตกใจ อ่อนไหวง่าย อารมณ์ไม่หนักแน่น ซึ่งต่างจากผู้ชายที่เดินเต็มฝ่าเท้า พวกเขาจึงแข็งแกร่ง ไม่อ่อนไหวง่ายเหมือนผู้หญิง"

เพราะรองเท้าส้นสูงเป็นเครื่องแต่งกายส่วนหนึ่งที่ผู้หญิงขาดไม่ได้ แต่ถ้าใส่ทุกวัน โดยที่ไม่เปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นเตี้ยเลย อาจส่งผลเสียได้ในระยะยาว

จิตแพทย์วัลลภบอกว่า เท้าเป็นเส้นรวมประสาท พอผู้หญิงใส่รองเท้าส้นสูงมาก หน้าเท้า ส้นเท้า ปลายเท้าจึงเดินไม่เสมอกัน ศาสตร์ของภูมิปัญญาไทย บอกไว้ว่า หัวแม่โป้งคือสมอง ตา หู จมูก หากเดินเน้นเพียงส้นเท้า หรือปลายเท้าอย่างเดียว จะทำให้สมองไวเกินไป อ่อนไหวง่าย เรียกว่า over sensitive

หากเดินเน้นเอาส้นเท้าลงเท่านั้นจะทำให้ปวดท้อง ส่วนตรงฝ่าเท้า คือปอด หัวใจ กระเพาะ ตับอยู่ ลำไส้ ส่วนอารมณ์ ความรู้สึกอยู่ใกล้ๆ กับส้นเท้า เพราะทุกวันที่ใส่ส้นสูงทำให้ไม่ได้เดินเต็มเท้า การทำงานในระบบร่างกายจึงไม่สมบูรณ์

และนอกจากจะส่งผลเรื่องอารมณ์แล้ว ยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ สามารถทำให้เป็นพังผืดได้ ช่วงน่องขา จะเสีย ทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับโครงสร้างของกระดูก ที่สำคัญอาจเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน ทั้งสะดุดล้ม ขาพลิก


ส่วนความสูงของรองเท้าที่มีผลกับผู้หญิงนั้น คือ ต้องสูง 3 นิ้วขึ้นไป และสวมใส่เป็นระยะเวลานาน บ่อย และถี่ จึงจะส่งผลกับอารมณ์ สุขภาพ

นายวัลลภบอกด้วยว่า อยากใส่รองเท้าส้นสูงสามารถใส่ได้ เวลาอยากไปงาน หรืออยากแต่งตัวสวยๆ แต่เวลาทำงานให้ใส่รองเท้าส้นเตี้ยประมาณ 1 นิ้ว หรือใส่สลับกับรองเท้าส้นสูงบ้าง และเวลาเดินไม่ควรเอาส้นเท้าลง หรือปลายเท้าลงอย่างเดียว ควรเดินลงพร้อมกัน ให้เต็มฝ่าเท้าดีที่สุด

"นอกจากนี้ ให้ออกกำลังกายด้วยการเดินถอยหลังโดยเอามือดันข้างหลังทั้งสองข้างแล้วเดิน และการนวดฝ่าเท้าจะช่วยกระตุ้นปลายประสาท แต่ไม่มีใครสามารถนวดฝ่าเท้าได้ตลอดชีวิต รวมทั้งถ้ามีโอกาสให้นำเท้าแช่น้ำอุ่นบ้างเพื่อคลายเส้น แต่การรักษาโรคทุกอย่าง ที่ดีที่สุด คือป้องกันอย่าให้โรคมันเกิด?

ของสวยๆ งามๆ สามารถส่งผลร้ายได้เช่นกัน ทางที่ดี สวยแล้วอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะจ๊ะ สาวๆ จ๋า

ข่าวจากมติชน ออนไลน์




โดยทั่วไป เมื่อพูดถึงเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง เรามักจะนึกถึงกันแต่เรื่องของการออกกำลังกาย การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การรักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาดถูกสุขลักษณะเป็นลำดับแรกๆ เรามักจะให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพกายจนแทบจะลืมเรื่องของสุขภาพจิตกันไปเลย ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบนานแล้วว่าเรื่องของสุขภาพจิต โดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์นั้น มีผลต่อสุขภาพกายอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว

นั่นคือ เมื่อมีอารมณ์ไม่ดี เช่น มีความเครียด วิตกกังวล โกรธ กลัว ฯลฯ สมองจะส่งสัญญาณผ่านเซลล์ประสาทไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินออกมา ซึ่ง ฮอร์โมนตัวนี้จะมีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น จนรู้สึกว่าใจสั่น การหายใจถี่เร็วขึ้น จนทำให้รู้สึกวิงเวียน ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น จนรู้สึกปวดศรีษะ เหงื่อออกมากขึ้นโดยเฉพาะตามฝ่ามือฝ่าเท้า เลือดไปเลี้ยงผิวหนังน้อยลง ทำให้รู้สึกมือเท้าเย็น การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง ทำให้รู้สึกว่าท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายน้อยลง ทำให้รู้สึกว่าปากแห้ง คอแห้ง กล้ามเนื้อหดเกร็งตัว ทำให้รู้สึกเจ็บหรือปวดเมื่อย บริเวณกล้ามเนื้อต้นคอ หลัง ไหล่ ตับต้องทำงานหนักเพื่อสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย ฯลฯ

ดังนั้น หากคนเราเกิดอารมณ์ที่ไม่ดีบ่อยๆ หรือเก็บกดอารมณืที่ไม่ดีเอาไว้เป็นเวลานานๆ จะทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ แปรปรวน ร่างกายจะอ่อนแอลง และเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคแผลในกระเพาะอาหาร ตลอดจนโรคมะเร็งของอวัยวะต่างๆ เพราะฮอร์โมนแห่งความเครียดจะทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ จนเกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด

จะสังเกตเห็นได้ว่า คนที่หงุดหงิดง่าย มองโลกในแง่ร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบวิตกกังวล เอาจริงเอาจังจนขาดอารมณ์ขัน ชอบทำหน้าบึ้งตึงอยู่เป็นนิจ มักจะเจ็บป่วยบ่อยๆ ด้วยอาการต่างๆ นานา เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นหวัดบ่อยๆ ปวดเมื่อกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก หายใจติดขัด ฯลฯ นั่นเป็นเพราะอารมณ์ที่ไม่ดีนั่นเอง

ส่วนอารมณ์ที่ดี เช่น อารมณ์รัก อารมณ์ขัน สนุกสนาน ตลอดจนอารมณ์ที่ผ่อนคลาย จะทำให้คนเรารู้สึกสุขใจ สบายใจ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สดชื่น มีชีวิตชีวา และทำให้สุขภาพร่างกายพลอยแข็งแรงไปด้วย เพราะเมื่อมีอารมณ์ที่ดี ฮอร์โมนแห่งความสุขที่ชื่อว่า เอนดอร์ฟินและสารเคมีที่เป็นสื่อประสาทที่ดีจะหลั่งออกมาทำให้อวัยวะต่างๆ ของร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ทำให้เซลล์แต่ละเซลล์มีความแข็งแรง เชื้อโรคไม่สามารถเข้าสู่เซลล์หรือทำอันตรายเซลล์ได้ ร่างกายจึงแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย มีภูมิคุ้มกันโรคมากขึ้น ช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกายลง โดยเฉพาะคนที่มีอาการเจ็บป่วยทางกาย ถ้าทำอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใส หรือรู้สึกทำจิตใจให้สงบ จะช่วยจให้รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงกว่าเดิมได้ นอกจากนี้ ฮอร์โมนแห่งความสุขยังช่วยให้คนเรารู้สึกเคลิบเคลิ้มและผ่อนคลายจากความเครียดได้ด้วย
อารมณ็ที่ดีจึงมีผลในการสร้างเสริมสุขภาพกายเป็นอย่างยิ่ง เราจึงควรหันมาให้ความใส่ใจดูแลอารมณ์ของเราให้มากขึ้น ประคับประคองอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใส่อยู่เสมอ ฝึกหัดตัวเองให้เป็นคนยิ้มง่าย หัวเราะง่าย จับผิดคนอื่นให้น้อยลง ให้อภัย ให้ความเมตตา ทำประโยชน์ให้สังคม ช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งจะนำไปสู่ความรู้สึกอิ่มเอิบใจ และเมื่อใจเป็นสุข กายก็จะเป็นสุขอย่างแน่นอน
ท่องให้ขึ้นใจนะคะว่า " อารมณ์สดใส ใจกายเป็นสุข "

บทความโดย BILL STAR ผู้ฝึกสอนกายบริหาร มหาวิทยาลัยจอน ฮอบกินส์


ด้วยวัย 46 ปี ชาลี เวส เพื่อนสนิทของผม สนใจและเริ่มเพาะกายอย่างจริงจัง เพื่อเข้าประกวดในรายการต่างๆ ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขา อายุระหว่าง 20 - 30 ปี ชาลีสนใจ และฝึกฝนจนเป็น นักกีฬายกน้ำหนัก (weightlifing) แล้วตั้งแต่นั้นมา ชาลีก็ดูแล รักษาทรวดทรง ให้ดูดีตลอดเวลา มาจนถึงทุกวันนี้

เราทั้งสองคนพึ่งกลับมาจากงานบลูกลาส เฟสติวัล ที่ดาร์ลิงตัน ตอนนี้มาพักตากอากาศที่ชายฝั่งกรีก เรานั่งคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระ ผมสังเกตุเห็นว่า ระหว่างที่ชาร์ลีคุยกับผม เขาจะคอยจิบน้ำที่นำติดตัวมาด้วยตลอดเวลา นิสัยการดื่มน้ำของชาลีเปลี่ยนไป เพราะก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนทานน้ำน้อยมาก คงจะมีแค่ตอนแปรงฟันเท่านั้น ที่น้ำสัมผัสริมฝีปากเขา น่าสงสัยจริง

ผมเริ่มบทสนทนาก่อน โดยถามขึ้นว่า "ชาร์ลี ขอถามหน่อยนะเพื่อน อะไรทำให้นายฟิตร่างกาย สำหรับการประกวดเพาะกายล่ะ" ชาร์ลีตอบว่า "คุณจำแจ็ค คิง ได้หรือเปล่า ก็คนที่คุณเคยสัมภาษณ์ลงหนังสือ Muscle Mag เมื่อหลายปีแล้วน่ะ ผมชื่นชมเขามาตั้งแต่ ได้อ่านบทความชิ้นนั้นแล้วล่ะ ต่อมา ผมได้มีโอกาสเจอตัวจริงของเขา และเล่นกล้ามด้วยกัน ทำให้ผมเรียนรู้เคล็ดลับดีๆ สำหรับการสร้างกล้ามมาจากเขามากมาย แล้วคุณอยากรู้ไหมล่ะว่า เคล็ดลับของเขา ที่คุณไม่ได้สัมภาษณ์ไว้น่ะ มันคืออะไร" ชาร์ลียกแก้วน้ำขึ้นมา ผมจึงตอบไปว่า "น้ำ?"

"ถูกต้องแล้ว" ชาร์ลีตอบ "ผมแอบสังเกตเห็นว่า แจ็คดื่มน้ำบ่อยมาก ด้วยความสงสัยนี้ ผมจึงไปหาคำตอบในห้องสมุด และผมได้ค้นพบความรู้ที่น่าสนใจมาก ซึ่งจะถ่ายทอดให้คุณฟังไว้" ผมได้ยินดังนั้นจีงรีบไปหาสมุดปากกามา เพื่อจะเริ่มทำการเล็คเชอร์ทันที "เริ่มเลยสิเพื่อน" ผมบอก

"อากาศมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และรองลงมาก็คือระบบของเหลวในร่างกายเรา และคำว่าของเหลวในที่นี้ เกือบจะทั้งหมดก็คือน้ำนั่นเอง ความสำคัญของน้ำ มีมากกว่าการทานอาหารของเราเสียอีก ผมได้อ่านนิตยสาร เกี่ยวกับการออกกำลัง และการรักษาสุขภาพ มาเป็นร้อยๆเล่มแล้ว หนังสือพวกนั้นล้วนแต่พูดถึง การเลือกรับประทานอาหารทั้งสิ้น แต่ไม่มีเล่มใดที่พูด เกี่ยวกับเรื่องน้ำให้ละเอียดเลย บอกแต่ว่ามันดี แต่ไม่รู้อย่างอื่นเลย ทำให้ผมต้องไปค้นคว้าเอง แล้วนำมาถ่ายทอดอยู่นี่ไงล่ะ" ชาร์ลีหยุดจิบน้ำ แล้วพูดต่อ "ในร่างกายเรา มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือโปรตีน น้ำมีความสำคัญ ต่อทุกกระบวนการในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น การควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ,การสร้าง และกระตุ้นระบบประสาท ,การเผาผลาญอาหาร ,การขับถ่ายของเสีย ,ระบบภูมิคุ้มกัน และอื่นๆอีกมาก"

"ระบบเคมีต่างๆในร่างกาย ต้องใช้น้ำเป็นปัจจัยสำคัญทั้งสิ้น เมื่อคนใดก็ตาม ที่ดื่มน้ำไม่พอ เขาจะเกิด ภาวะร่างกายขาดน้ำ มันจะไปลดการสร้างเม็ดเลือด ทำให้ระบบการทำงานของเลือด มีปัญหา ส่งผลไปถึงการทำงานของระบบหัวใจ ไม่เพียงเท่านี้นะ หากร่างกายขาดน้ำ จะทำให้การลำเลียง ออกซิเจน น้ำ และสารอาหารไปสู่เซลล์กล้ามเนื้อ มีปัญหาด้วย และการค้นพบล่าสุด ยังให้เตือนให้เราทราบว่า การขาดน้ำเพียงเล็กน้อย ระบบสมองของเรา ก็ได้รับผลกระทบด้วย มันทำให้ระบบประสาท ความมีสมาธิ ระบบการคิดด้วยสมอง ตกต่ำลงไปทันที" ชาร์ลีพูดอย่างขึงขัง ผมฟังดังนั้นรู้สึกกลัวทันที จึงถามไปว่า "แล้วร่างกายเรามีการเตือนภัยล่วงหน้าหรือไม่ ว่ากำลังจะเข้าสู่ภาวะ ร่างกายขาดน้ำแล้วน่ะ" ชาร์ลีตอบว่า "นี่ก็เป็นความแปลกอย่างหนึ่ง ที่ผมค้นพบว่า ร่างกายคนเราไม่มีระบบเตือนภัยนี้เลย"

"แล้วอาการกระหายน้ำล่ะ?" ผมถามไป ซึ่งชาร์ลีก็ตอบทันทีว่า "ไม่เลยเพื่อน เพราะการที่เราเกิดการกระหาย นั่นคือคุณเข้าสู่ภาวะอันตรายแล้ว และมันสายเกินกว่าจะแก้แล้วด้วย ถึงตอนนั้นร่างกายคุณ ได้รับความเสียหายไปแล้วไม่มากก็น้อย เพียงแต่คุณไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง เพราะ แม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ที่คุณขาดน้ำ มันก็ทำให้การดำเนินไปของ ระบบเคมีในร่างกายได้รับผลกระทบไปแล้ว มีการทดลองยืนยันว่า ภาวะร่างกายขาดน้ำเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้ประสิทธิภาพ ในการยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดลงไปถึง 10 เปอร์เซนต์ ไม่รวมถึงความเร็ว ในการทำงานของกล้ามเนื้อ ที่จะลดลงไปอีก 8 เปอร์เซ็นต์ ของที่มันเคยเป็นอยู่"

"และนี่คือคำตอบที่ว่า ทำไมนักกีฬาต้องเอาใจใส่ ในการดื่มน้ำเป็นจำนวนมากใช่ไหม" ผมพูดเสริม ชาร์ลีก็ผงกหัวตอบรับว่าใช่ ผมจึงถามในส่วนชองผมว่า " แล้วทำไม ทั้งๆที่เวลาส่วนใหญ่ ผมนั่งอยู่ในออฟฟิศ ไม่ได้ไปเสียเหงื่อที่ไหนเลย บางครั้งเวลาผมพิมพ์ดีด ปรากฏว่านิ้วเป็นตะคริว อาการนี้เป็นผลของ การที่ร่างกายขาดน้ำด้วยไม่ใช่หรือ?" ชาร์ลีตอบว่า "ใช่แล้ว มันเป็นผลอย่างหนึ่งของการขาดน้ำ คนส่วนใหญ่น่ะคิดว่า เมื่อเขาไม่ได้ออกกำลังกายให้เสียเหงื่อแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทานน้ำเยอะๆ ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดนะ คนที่ทำงานในตึกที่ ระบบหมุนเวียนอากาศไม่ดี หรือทำงานในบ้านเรือนที่ มีอากาศร้อนแห้งเป็นปกติ เขาจะสูญเสียน้ำออกไป โดยการระเหยทางผิวหนัง และทางการหายใจ โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว ตัวอย่างแปลกๆอีกอัน ก็เช่น การทำงานหรือเป็นนักบิน บนเครื่องบินที่อยู่บนฟ้า ก็มีโอกาศสูญเสียน้ำได้ ทุกคนที่อยู่บนเครื่องบิน ที่กำลังบินอยู่ 3 ชั่วโมง เขาจะสูญเสียน้ำในร่างกายไป 2 ปอนด์ ด้วยเหตุนี้เองที่ ผู้โดยสาร หรือนักบิน มักจะเรียกหาเครื่องดื่ม เช่นโค้ก กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แต่แทนที่มันจะดีขึ้น มันกลับทำให้คุณปวดปัสสาวะ ซึ่งเป็นการทำให้คุณสูญเสียน้ำ มากขึ้นไปอีก"

ชาร์ลีพูดต่อว่า "คนทั่วๆไป เสียน้ำไป 2 ถ้วยต่อวันผ่านการหายใจ และอีก 2 ถ้วย ด้วยการเสียเหงื่อ และอีก 6 ถ้วยจากการขับถ่าย ด้วยวิธีต่างๆของร่างกาย รวมแล้ว วันหนึ่งๆ คุณจะสูญเสียน้ำไป 10 ถ้วย ทั้งๆที่คุณยังไม่ได้ออกกำลังกายเลยด้วยซ้ำ อีกประการหนึ่ง ที่คุณควรรู้ไว้คือ นักกีฬาทั้งหลาย โดยเฉพาะนักเพาะกาย พยายามสร้างมัดกล้ามเนื้อ ด้วยการบริโภคโปรตีนมากๆ แต่ไม่สมดุลย์กับการบริโภคคาร์โบไฮเดรต ที่น้อยเกินไป มันจะส่งผลให้ร่างกาย เกิดภาวะ คีโตซิส (KETOSIS) ภาวะนี้เกิดจาก การเผาผลาญที่ไม่สมบูรณ์ของ คีโตน (KETONE) คีโตน คือสารที่ประกอบด้วย ธาตุคาร์บอนโมโนออกไซด์ และไฮโดรคาร์บอน (คำว่าโมโนออกไซด์ ในคาร์บอนโมโนออกไซด์ เป็นตัวแสดงว่า เกิดการเผาผลาญที่ไม่สมบูรณ์ - webmaster) ซึ่งคีโตนนี่เอง ที่เป็นสารพิษ ที่ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อเกิด ภาวะการขาดน้ำ อย่างฉับพลัน ประสิทธิภาพในการเก็บกักน้ำของเซลล์ จะลดลง ดังนั้นเพื่อป้องกันภาวะนี้ คุณจะต้องดื่มน้ำให้มากๆไว้ก่อน เพราะถ้าเซลล์เก็บน้ำได้น้อยลง มันก็ยังได้รับจากน้ำที่คุณดื่มไปสำรองได้ทันที"



ผมถามชาร์ลีถึงปริมาณน้ำที่เราจะดื่ม ชาร์ลีตอบว่า "เป็นที่ยอมรับแล้วว่า ทุกๆคนจะต้องดื่มน้ำอย่างน้อย วันละ 7 - 8 แก้ว แต่ไม่ควรทานพร้อมกับ การทานอาหารในแต่ละมื้อนะ และคุณควรจะดื่มน้ำมากกว่านี้ หากคุณต้องออกกำลังกายในยิม ที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ หรือว่าคุณ ต้องเล่นกล้ามในที่โล่งแจ้งด้วยเช่นกัน จริงๆแล้วเราได้รับน้ำจากแหล่งอื่นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในอาหารเกือบทุกชนิดที่เราทาน จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบเสมอ ที่เห็นชัดๆก็คือผลไม้ ซึ่งมีน้ำเป็นส่วนประกอบ 85 - 90 เปอร์เซ็นต์ และแหล่งผลิตน้ำอีกอย่างหนึ่ง ก็คือร่างกายคุณนั่นเอง น้ำที่ว่านี้ จะมาจากระบบการเผาผลาญอาหารของคุณ ซึ่งจะได้ปริมาณน้ำครึ่งถ้วยต่อวัน ถ้าจะสรุปเป็นตัวเลข ถึงแหล่งที่มาของน้ำสู่ร่างกายนั้น ก็คือ 10 เปอร์เซ็นต์ มาจากระบบเคมีในร่างกาย อีก 30 เปอร์เซ็นต์มาจากอาหารที่ทาน ดังนั้น คุณจะต้องทำหน้าที่ นำที่เหลืออีก 60 เปอร์เซ็นต์เข้าสู่ร่างกาย ด้วยการดื่มน้ำนั่นเอง" ผมถามต่อว่า "แล้วคุณมีเทคนิคการดื่มน้ำ ที่จะบอกกับนักกีฬาไหมล่ะ" ชาร์ลีตอบว่า "คนส่วนมาก จะดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหาย ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เทคนิคการดื่มน้ำสำหรับการออกกำลังกาย มีดังนี้คือ ก่อนออกกำลังกาย ประมาณครึ่งชั่วโมง ให้ดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว เพื่อให้น้ำไปหล่อเลี้ยงเซลล์จนอิ่มตัว ผมแนะนำให้ใช้น้ำเย็น เพราะร่างกายจะดูดซึมได้มากกว่าน้ำอุ่น ต่อมาเมื่อเหลือเวลาอีก 15 นาที ให้ทานอีก 1 แก้ว และในขณะที่เราเริ่มออกกำลังกายแล้ว ให้ดื่มน้ำ 1 แก้วเล็กๆ ทุกๆ 20 นาที หรือเมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ จวบจนกระทั่งออกกำลังกายเสร็จแล้ว คุณก็ควรดื่มอีก 3 แก้ว และจำไว้ว่า หากคุณชอบดื่มโค้ก กาแฟ ก่อนการบริหาร คุณจะต้องเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำมากขึ้นอีก"

วันนี้ผมได้ความรู้จากชาร์ลีมากมาย และพึ่งรู้ว่าที่ผ่านมา ตัวเองให้ความสำคัญกับน้ำน้อยเกินไป ต้องขอขอบใจชาร์ลีที่ให้ความรู้แก่พวกเรา ชาร์ลีเสริมในตอนท้ายอีกว่า "ขอให้ผม ได้พูดครอบคลุมไปถึง เรื่องวิตะมินสักเล็กน้อยเถอะ เรารู้กันว่าวิตะมินซี และวิตะมินบีต่างๆ ละลายในน้ำ และมันจะออกมาทางปัสสาวะ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผล ที่คุณจะอ้างในการทานน้ำน้อยลง หากคุณเป็นนักกีฬา หรือผู้ที่ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอแล้ว คุณจะต้องดื่มน้ำมากๆ และวิธีแก้ในเรื่องวิตะมินสองตัวนี้คือ ทานวิตะมินสองตัวนี้เสริม เพิ่มเติมจากอาหารประจำวันด้วยนะ"




นิตยสาร Life ยกย่องเขาว่าเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งแห่งสหัสวรรษ จำนวนสิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดค้นก็น่าทึ่ง – มีถึง 1093 อย่าง เขาถือสิทธิบัตรมากกว่าใครๆ โดยได้รับอย่างน้อยทุกๆ ปีเป็นเวลา 65 ปีติดต่อกัน เขายังได้พัฒนาห้องทดลองค้นคว้าวิจัยสมัยใหม่เขาผู้นี้คือ โธมัส เอดิสัน

เมื่อพูดถึงความสามารถของเอดิสัน คนส่วนใหญ่ยกย่องความเป็นอัจฉริยะในการประดิษฐ์ของเขา แต่เขาเองยกย่องการทำงานหนัก เขากล่าวว่า “อัจฉริยะก็คือหยาดเหงื่อ 99% และแรงบันดาลใจ 1%” ผมเองเชื่อว่าความสำเร็จของเอดิสันเป็นผลมาจากปัจจัยที่ 3 ด้วย นั่นก็คือทัศนคติที่ดีของเขา

เอดิสันเป็นมองโลกแง่ดี เขามองเห็นสิ่งที่ดีที่สุดในทุกสิ่งทุกอย่าง เขากล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า “หากทำทุกสิ่งที่เราสามารถแล้วล่ะก็ เราจะต้องทึ่งในตัวเองอย่างเหลือล้น” ตอนที่เขาต้องลองถึง 1,000 ครั้งเพื่อหาวัสดุที่เหมาะสมสำหรับไส้หลอดไฟนั้น เขาไม่คิดว่าการทดลองที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นความล้มเหลว แต่เขากลับมองเห็นว่าในแต่ละครั้ง เขายิ่งเรียนรู้เพิ่มขึ้นว่า มีวัสดุใดบ้างที่ใช้การไม่ได้ และนั่นยิ่งทำให้เขาเข้าใกล้คำตอบเข้าไปทุกที เขามั่นใจโดยไม่สงสัยเลยว่า เขาจะพบคำตอบในที่สุด เราสามารถสรุปความเชื่อของเขาได้จากคำพูดของเขาเองที่ว่า “ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในชีวิตหลายต่อหลายครั้งนั้น ก็มาจากการที่คนเราไม่รู้ว่าเขายอมแพ้ไปใน ขณะที่เขาเกือบจะประสบความสำเร็จอยู่รอมมะล่อ”

ครั้งที่เอดิสันได้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดที่สุดถึงความมีทัศนคติที่ดี ก็น่าจะเป็นช่วงที่เขาต้องเผชิญภัยพิบัติตอนอายุกว่า 65 ปี ในขณะนั้นห้องทดลองที่เขาสร้างขึ้นในเมืองเวสท์ออเรนจ์ รัฐนิวเจอร์ซี่ กำลังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เขาเรียกอาคารชุดทั้ง 14 หลังว่าเป็นโรงงานสิ่งประดิษฐ์ของเขา อาคารหลักมีความใหญ่โตมโหฬาร – ขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอลอเมริกันถึง 3 สนามรวมกันจากฐานปฏิบัติการ ณ อาคารหลังนี้ เขาและทีมงานได้จินตนาการสิ่งประดิษฐ์, พัฒนาตัวอย่าง, ผลิตผลงาน, และบริการจัดส่งให้ลูกค้านับเป็นต้นแบบแห่งการค้นคว้าวิจัยและขบวนการผลิตสมัยใหม่

เอดิสันรักอาคารหลังนี้มาก เขาใช้เวลาทุกนาทีที่นั่นเท่าที่จะทำได้ เขาถึงกับนอนที่นั่น บ่อยครั้งที่นอนกับโต๊ะปฎิบัติการทดลอง แต่แล้ววันหนึ่งในเดือนธันวาคม ปี 1914 ได้เกิดเพลิงไหม้ห้องทดลองอันเป็นที่รักเขา ขณะยืนดูอยู่ข้างนอกและมองตึกถูกเพลิงเผาผลาญอยู่นั้น มีคนได้ยินเขาบอกว่า “ลูกๆ ไปตามแม่มาดูซิ แม่คงไม่มีโอกาสเห็นไฟไหม้อย่างนี้อีก”

ถ้าเป็นคนอื่นก็คงรู้สึกหมดหวังไปแล้ว แต่เอดิสันไม่เป็นเช่นนั้น “ผมอายุ 67 ปี” เขากล่าวหลังอัคคีภัย “แต่ยังไม่แก่เกินกว่าที่จะเริ่มต้นใหม่ ผมเคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายอย่างนี้มามากต่อมากแล้ว” เขาสร้างห้องทดลองขึ้นมาใหม่และทำงานต่ออีกถึง 17 ปี “ผมยังมีไอเดียอีกมากมาย แต่มีเวลาซิมีน้อย” เขากล่าว “ผมคิดว่าผมน่าจะมีอายุแค่ 100ปีโดยประมาณเท่านั้น” เขาเสียชีวิตตอนอายุ 84 ปี

หากเอดิสันไม่ได้มีการมองโลกในแง่ดี เขาคงไม่ประสบความสำเร็จในฐานะสุดยอดนักประดิษฐ์ ถ้าคุณดูชีวิตคนในอาชีพใดๆ ก็ตามที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คุณจะพบว่าแทบทุกคนมองชีวิตในแง่ดีอยู่เสมอ
การมีทัศนคติที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล ทัศนคติที่ดีไม่เพียงช่วยให้คุณมองชีวิตในแง่ดีเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อการคบค้าสมาคมกับคนอื่นอีกด้วย

ที่มา: หนังสือ 21 คุณสมบัติหลักแห่งการเป็นผู้นำ โดย John C. Maxwell




Categories